- 19 มี.ค. 2567
เด็กหนุ่มวัย 17 ปี พร้อมพ่อได้เดินทางไปยัง สน.ท่าข้าม เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับคลินิกแห่งหนึ่งในห้างย่านพระราม 2
วันที่ 19 มีนาคม 2567 เด็กหนุ่มวัย 17 ปี พร้อมพ่อได้เดินทางไปยัง สน.ท่าข้าม เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับคลินิกแห่งหนึ่งในห้างย่านพระราม 2 ซึ่งเด็กหนุ่มคนนี้ นามสมมติว่าน้องเอ ระบุว่า ตนได้เข้าใช้บริการคลินิกดังกล่าว 3 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้ง เป็นการที่ตนเข้าไปใช้บริการเพราะด้วยความเกรงใจและกลัวว่าจะมีผลกระทบกับตนเอง
ซึ่งครั้งแรกที่ ตนได้ใช้บริการคลินิกดังกล่าวคือเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ โดยวันนั้นตนได้ไปเที่ยวห้างชื่อดังย่านพระราม 2 กับเพื่อน เผอิญเจอคลินิกดังกล่าวพูดชักชวนให้มาใช้บริการด้วยโปรโมชั่นต่าง ๆ เมื่อเพื่อนเห็นเลยเกิดความสนใจ จึงชักชวนให้ตนเข้าร่วมใช้บริการ ซึ่งในวันนั้น ตนได้เสียค่าบริการไป 6,500 บาท ตนจำได้แค่ว่า วันนั้นมีบริการนวดหน้าด้วยน้ำทองคำและเสียค่าคอร์สที่มาใช้บริการหัตถกรรมที่คลินิกดังกล่าว โดยมีนัดหมายครั้งต่อไปวันที่ 25 กุมภาพันธ์
ทั้งนี้เพื่อนที่ไปด้วยตัดสินใจปฏิเสธที่จะไม่รับบริการคลินิกดังกล่าวต่อ แต่ตนเกิดความเกรงใจ จึงตัดสินใจรับบริการคลินิกดังกล่าวต่อ โดยที่ทางคลินิกได้สอบถามอายุของตนแล้ว แต่ไม่ได้สอบถามถึงเรื่องผู้ปกครองหรือผู้ให้ความยินยอมแต่อย่างใด
หลังจากนั้น ตนได้ไปรับบริการอีก 2 ครั้ง คือเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ซึ่งวันนั้นมีบริการตั้งแต่มาร์คหน้าทองคำ บริการบำรุงกล้ามเนื้อท้องและทรีทเม้นท์ต่าง ๆ รวมทั้งซื้อผลิตภัณฑ์เป็นครีมกระปุกบำรุงผิวหน้ามา 2 กระปุก รวมเบ็ดเสร็จทั้งสิ้น 90,000 บาท และวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันที่รับบริการครั้งสุดท้าย แต่วันนั้นน้องเอจำไม่ได้ว่าทำอะไรบ้าง แต่เสียค่าใช้จ่าย 6,500 บาท โดยรวมตลอดทั้ง 3 ครั้ง เสียค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 103,000 บาท
โดยน้องเอระบุว่า จำไม่ได้ว่าคนในคลินิกมีการรบเร้าหรือบีบบังคับให้ซื้อคอร์สหรือไม่ แต่ที่ตนตกลงรับบริการและซื้อคอร์สต่าง ๆ ก็เพราะตนคิดกลัวว่า ถ้าหากว่าไม่ตกลงซื้อของหรือรับบริการจากคลินิกจะได้รับอันตราย จึงทำให้ตนตกลงใจที่จะตกลงซื้อคอร์สหรือรับบริการต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ได้รับอันตราย ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา ตนรู้สึกเครียดอย่างมากและไม่กล้าบอกพ่อแม่ จนพ่อแม่มาทราบเรื่องเมื่อพบว่าเงินในบัญชีหายไป จึงทำให้ตนตัดสินใจบอกพ่อแม่ของตน ซึ่งจนถึงตอนนี้ตนก็ยังมีความรู้สึกเครียดกังวลและมองว่าครั้งนี้จะถือเป็นอุทาหรณ์สำหรับตนเอง หลังจากนี้จะไม่หลงเชื่ออะไรง่าย ๆ อีกแล้ว
ด้านคุณพ่อของน้องเอระบุว่า ลูกชายป่วยเป็นอาการหลงเชื่อง่ายและอ่อนไหวเครียดง่ายมานานแล้ว ซึ่งตนเพิ่งมาทราบเรื่องเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพราะพบว่าเงินในบัญชีหายไป ซึ่งตนกับลูกใช้เงินบัญชีเดียวกัน แต่ลูกก็ไม่กล้าบอกตนเพราะลูกกลัวว่าตนเองจะป่วยหนักกว่าเดิม เนื่องจากตนเพิ่งผ่านพ้นการผ่าตัดคอมา แต่ตนก็คะยั้นคะยอจนลูกกล้าที่จะรับสารภาพว่าเกิดอะไรขึ้น จึงทำให้ที่ผ่านมา ได้พยายามรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ จนติดต่อคลินิกได้ และได้พยายามติดต่อเพื่อให้คลินิกดังกล่าวคืนเงิน แต่ปรากฏว่าคลินิกดังกล่าวเพิกเฉยและไม่ติดต่อกลับมา ตนจึงตัดสินใจที่จะแจ้งความกับตำรวจเพื่อดำเนินคดีกับคดีดังกล่าว เพราะตามกฎหมายแพ่งแล้วคลินิกดังกล่าว ไม่สามารถทำหัตถกรรมลูกของตนได้ เพราะลูกของตนยังไม่บรรลุนิติภาวะ ต้องได้รับความยินยอมจากตนในฐานะผู้ปกครองก่อน จึงถือเป็นโมฆียะ ตนมีสิทธิบอกล้างได้ อีกทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น เป็นการที่ลูกไม่มีเจตนาต้องการจะรับบริการคลินิกดังกล่าวเลย จึงประสงค์จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด
ได้พนักงานสอบสวน สน.ท่าข้าม ระบุว่าจะดำเนินการรับแจ้งความและจะเรียกทางฝั่งคลินิกมาให้ปากคำ โดยพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่ายต่อไป