- 18 เม.ย. 2567
ต้องชนแรงขนาดไหน หมอเผยอาการแรกรับ ดาบต้าร์ ตำรวจทางหลวง หลังโดน เก๋งพุ่งชนระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ล่าสุดยังน่าเป็นห่วง
"ตำรวจทางหลวงโดนรถชน" ร่วมส่งกำลังใจกันอย่างต่อเนื่อง กับกรณีที่ ด.ต.ปิยนันท์ สีเสื้อ หรือ หรือ ดาบต้าร์ อายุ 39 ปี ตำแหน่ง ผบ.หมู่ ส.ทล.3 กก.1 บก.ทล.ตำรวจทางหลวงลพบุรี (ประจำจุดอยู่หมวดทางหลวงดีลัง) ถูกรถเก๋งพุ่งชนระหว่างปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกด้านการจราจร เมื่อช่วงเย็นวันที่ 16 เม.ย. 2567 ที่ผ่านมา ทำให้ร่างของ ด.ต.ปิยนันท์ กระเด็นลอยไปไกลราว 10 เมตร ศีรษะด้านหน้ากระแทกกับพื้น ล้มหมดสติอาการสาหัส
ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู ได้รีบนำตัว ดาบต้าร์ ส่งยังโรงพยาบาลพัฒนานิคม และจะได้นำตัวดาบต้าร์เพื่อส่งโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเฮลิคอปเตอร์ของกองบินตำรวจ แต่ปรากฏว่าไม่สามารถนำส่งโรงพยาบาลตำรวจได้ เนื่องจาก ดาบต้าร์ มีอาการชีพจร
และทนสภาพแรงกดอากาศไม่ไหว เนื่องจากสมองบวมจากการกระทบกระเทือนอย่างหนัก จึงทำให้เฮลิคอปเตอร์วนมาลงจอดที่เดิม และมีการประเมินอาการผู้ป่วย รวมทั้งเปลี่ยนแผนที่จะนำตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ มาเป็นโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช อ.เมือง จ.ลพบุรี แทน
หลังจากได้รับการตรวจอาการ ดาบต้าร์ หลังเกิดเหตุ แพทย์หญิงนุชรินทร์ อักษรดี ผอ.โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช เล่าว่าอาการแรกรับที่ห้องฉุกเฉิน ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว ได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง ได้แก่ กะโหลกศีรษะแตก มีเลือดออกเหนือเยื่อหุ้มสมอง กระดูกขากรรไกรบนหัก เลือดออกในช่องเยื่อหุ้มปอดข้างขวา ลูกตาข้างขวาแตก และกระดูกบริเวณน่องข้างขวาหัก
ซึ่งหมอได้ทำการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ เพื่อห้ามเลือด พร้อมทั้งใส่สายระบายเลือดในช่องอกข้างขวา และส่งเข้ารับการดูแลอย่างใกล้ชิดในไอซียูศัลยกรรมประสาทและสมอง จากนั้น ผู้ป่วยยังคงไม่รู้สึกตัวและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่อาการทางสมองเริ่มคงที่ขึ้น สัญญาณชีพอยู่ในระดับปกติ แพทย์มีความเห็นว่าสามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางรถได้ โดยอยู่ระหว่างการประสานกับโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเป็นต้นสังกัดในการรับผู้ป่วยไปรักษาต่อ
ล่าสุดผู้สื่อข่าวไทยนิวส์รายงานว่า ได้เคลื่อนย้าย ดาบต้าร์ ตำรวจทางหลวงโดนสาวขับเก๋งชนบาดเจ็บสาหัสออกจาก รพ.พระนารายณ์มหาราช ในเวลา 10.00 น. ซึ่งได้ใช้เส้นทาง วิ่งถนนเอเชีย ขึ้นโทลเวย์ มุ่งตรง โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อทำการรักษาตัวต่อแล้ว
ด้าน นายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ เผยเบื้องต้นมีรายงานจากโรงพยาบาลต้นทางว่าได้ทำการผ่าตัดสมองของผู้ป่วยและเจาะนำเลือดที่คลั่งอยู่ภายในสมองออกมาได้แล้ว แต่ยอมรับว่าผู้ป่วยยังมีอาการหนักต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
หลังจากนี้ทางโรงพยาบาลตำรวจจะต้องประเมินจากผลการประเมินการรักษาจากโรงพยาบาลต้นทางและการตรวจสภาพร่างกายของผู้ป่วยว่า จะต้องมีการผ่าตัดเพิ่มเติมอีกหรือไม่ เนื่องจากขณะนี้ผู้ป่วยยังไม่รู้สึกตัว จึงจำเป็นต้องเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิดซึ่งสิ่งที่ทีมแพทย์มีความเป็นห่วงมากที่สุดคือภาวะการบอบช้ำทางสมองที่ค่อนข้างรุนแรง