- 20 เม.ย. 2567
แม่ร้อง “ปวีณา” ลูกสาวเสียชีวิตที่บาห์เรน 1 ปี ทางสถานทูตเพิ่งแจ้งข่าว คาใจปมการตาย ขอน้ำใจคนไทยในบาห์เรนช่วยบริจาคเป็นค่าใช้จ่ายส่งศพกลับไทย เพื่อมาชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง
วันนี้ (20 เม.ย.) เมื่อเวลา 13.00 น. ที่มูลนิธิปวีณาฯ แม่ร้อง "ปวีณา" ลูกสาวอายุ 31 ปี ไปอยู่กินกับสามีชาวบาห์เรน ที่ประเทศบาห์เรน ขาดการติดต่อไปนาน 1 ปี ทางบ้านโพสต์ตามหาหลายครั้งแต่ไม่มีใครรู้ข่าว จู่ ๆ 2 วันก่อน สถานทูตแจ้งว่า มีศพสาวนิรนาม เสียชีวิตตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.66 ถูกเก็บไว้อยู่ที่ห้องเก็บศพของโรงพยาบาลซัลมาเนีย ประเทศบาห์เรน มานาน 1 ปีแล้ว
ซึ่งแม่สงสัยทำไมเจ้าหน้าที่เพิ่งจะแจ้งข่าว จากนั้นให้ญาติไปดูรูปศพ จำรอยสักที่ขาได้แม่นยำ ซึ่งแพทย์ที่โรงพยาบาลประเทศบาห์เรนระบุสาเหตุการตาย "ปอดและหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เนื่องจากแอลกอฮอล์เป็นพิษ" แต่แม่ยังไม่ปักใจเชื่อ เพราะเห็นในรูปถ่ายของศพมีรอยช้ำตามตัว และก่อนที่ลูกสาวจะหายไปเคยส่งรูปบาดแผลฟกช้ำตามตัวมาให้แม่และน้องดู พร้อมบอกว่า ถูกสามีชาวบาห์เรนทำร้ายบ่อยครั้ง แม่จึงคาดว่าการเสียชีวิตของลูกสาวอาจมีเงื่อนงำ หรืออาจจะถูกสามีทำร้ายจนเสียชีวิต ขอช่วยนำศพลูกสาวกลับไทยส่งชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง "ปวีณา" กระทรวงการต่างประเทศ ช่วยเหลือในขั้นตอนการนำศพกลับไทย และขอน้ำใจคนไทยในบาห์เรนร่วมบริจาคเงินเป็นค่าใช้จ่ายส่งศพสาวไทยกลับมาบ้านเกิด เนื่องจากครอบครัวผู้เสียชีวิตมีฐานะยากจน
นางเอม (นามสมมุติ) ผู้เป็นแม่ เข้าร้องทุกข์ต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี แจ้งว่า น.ส.บี (นามสมมุติ) ลูกสาวอายุ 31 ปี เดินทางไปทำงานร้านอาหารที่ประเทศบาห์เรนตั้งแต่ปี 64 เพราะครอบครัวฐานะยากจน ลูกสาวเป็นเสาหลักครอบครัว หาเงินส่งมาให้แม่และส่งเสียลูกน้อยอีก 3 คน ที่ผ่านมาลูกสาวจะติดต่อกับแม่และพี่น้องเป็นประจำผ่านทางแชตเฟซบุ๊ก กระทั่งปี 66 ลูกสาวบอกว่าได้อยู่กินกับสามีชาวบาห์เรน และสามีชอบหาเรื่องทะเลาะทำร้ายร่างกายเป็นประจำ พร้อมกับส่งภาพบาดแผลฟกช้ำตามตัวและคลิปวิดีโอร้องไห้มาให้แม่ดู แม่สงสารลูกจับใจแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร
ต่อมาวันที่ 14 เม.ย.66 แม่ก็ยังเห็นลูกสาวโพสต์เฟซบุ๊กทำนองตลกขำๆ ว่า "อุ้ย ตื่นมาหน้าแก่จัง" ซึ่งแม่ก็ไม่คิดว่าโพสต์นั้นจะเป็นโพสต์สุดท้าย แต่หลังจากนั้นแม่ก็ไม่สามารถติดต่อลูกได้อีก ส่งแชตข้อความไปก็ไม่มีการเปิดอ่าน และไม่ได้รับการติดต่อใดๆ จากลูกสาวอีกเลย กระทั่งเดือน ม.ค.67 แม่ได้ให้พี่สาวของน.ส.บี ติดต่อไปยังสถานทูตไทย ขอให้ช่วยประกาศตามหาตัวน.ส.บี ในชุมชนคนไทยในบาห์เรนแต่ก็ไม่ได้รับการแจ้งข้อมูลใดๆ จากนั้นน้องสาวของน.ส.บี จึงได้โพสต์เฟซบุ๊ก ตามหาพี่สาว ในเพจเฟซบุ๊ก กลุ่มคนไทยในประเทศบาห์เรน ช่วยติดตามหาแต่ก็ยังไม่มีวี่แวว
กระทั่งวันที่ 18 เม.ย.67 ครอบครัวได้รับการติดต่อจากสถานทูตว่า พบศพหญิงสาว ซึ่งยังไม่สามารถระบุสัญชาติได้ เสียชีวิตตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.66 ศพถูกเก็บไว้อยู่ที่ห้องเก็บศพของโรงพยาบาลซัลมาเนีย ประเทศบาห์เรน มานาน 1 ปีแล้ว พร้อมกับให้แม่และญาติไปพบเพื่อดูรูปศพ ซึ่งแม่จำรอยสักที่ขาของ น.ส.บี ได้แม่นยำ โดยแพทย์ที่โรงพยาบาลประเทศบาห์เรนระบุสาเหตุการตายว่า "ปอดและหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เนื่องจากแอลกอฮอล์เป็นพิษ" ซึ่งแม่ยังไม่ปักใจเชื่อ เพราะเห็นในรูปถ่ายของศพมีรอยช้ำตามตัว และก่อนที่ลูกสาวจะหายไปเคยส่งรูปบาดแผลฟกช้ำตามตัวมาให้แม่และน้องดู พร้อมบอกว่า ถูกสามีชาวบาห์เรนทำร้ายบ่อยครั้ง จึงคาดว่าการเสียชีวิตของลูกสาวอาจมีเงื่อนงำ เพราะเคยถูกสามีชาวบาห์เรนทำร้ายร่างกายเป็นประจำก่อนจะขาดการติดต่อไป และแม่ยังสงสัยว่าลูกสาวเสียชีวิตไปนานถึง 1 ปี ทำไมเจ้าหน้าที่ถึงเพิ่งจะแจ้งญาติ แต่ด้วยครอบครัวฐานะยากจนไม่รู้จะทำอย่างไร จึงขอให้มูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเหลือประสานนำศพลูกสาวกลับไทยเพื่อมาชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง
หลังรับเรื่อง นางปวีณา ได้ประสานกระทรวงการต่างประเทศเพื่อดำเนินการส่งศพน.ส.บี กลับประเทศไทย และขอน้ำใจคนไทยในบาห์เรนช่วยเหลือบริจาคเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งศพน.ส.บี กลับมา โดยนางปวีณา จะประสานสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ในการส่งศพน.ส.บี ไปชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง เพื่อให้ความกระจ่างกับแม่และญาติน.ส.บี
นางปวีณา กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของน.ส.บีด้วย และขอเตือนสาวไทยที่คิดจะเดินทางไปทำงานต่างประเทศควรจะตรวจสอบให้ดีเสียก่อน เนื่องจากเสี่ยงที่จะถูกหลอกค้าประเวณี ค้ามนุษย์ บังคับให้เสพยาเสพติด บางรายถึงขั้นถูกทำร้ายทุบตีจนเสียชีวิต ซึ่งจากสถิติมูลนิธิปวีณาฯ ตั้งแต่ปี 2547-2565 มีสาวไทยถูกหลอกไปค้าประเวณีในต่างประเทศ ที่เป็นอันดับ 1 คือ บาห์เรน จากนั้นในปี 2566 สาวไทยถูกหลอกไปค้าประเวณีถึง 219 ราย อันดับ 1 คือ ดูไบ 56 ราย อันดับ 2 คือ เมียนมา 54 ราย อันดับ 3 คือ บาห์เรน 25 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่อาจจะช่วยเหลือไม่ได้ทุกราย จากสถิติมูลนิธิปวีณาฯ ได้ช่วยเหลือสาวไทยที่เสียชีวิตในต่างประเทศโดยไม่ทราบสาเหตุหลายรายและการติดตามคดีก็เป็นไปได้ยาก