- 12 มิ.ย. 2567
ลาสิกขาแล้ว "พระอาจารย์เจ้าสำนักดัง" หลอกลวง 2 ผัวเมียเข้าลัทธิถวายตัว อ้างจะสิ้นอายุไข ก่อนชวนเสพเมถุนสะเดาะเคราะห์
จากกรณีที่ 2 สามีภรรยา ได้เข้าร้องเพจสายไหมต้องรอด หลังถูกพระสงฆ์เจ้าสำนักชื่อดัง หลอกเข้าลัทธิถวายตัว ลวงให้มีสัมพันธ์ โดยอ้างว่าเป็นการต่อดวงชะตาชีวิตให้พระ ซึ่งพระรูปนี้ได้ออกอุบายว่าตนมีดวงผูกชะตากับพระรูปนี้ เคยเป็นพ่อลูกกันมาก่อน รวมทั้งอ้างว่าครอบครัวของตนกำลังถูกทำของใส่ จะทำให้ตนสิ้นอายุขัยได้ ทางพระจึงทำพิธีถอนของให้ ซึ่งตอนนั้นเป็นการพิธีตามปกติ ยังไม่ได้ทำพิธีเชิงเพศสัมพันธ์แต่อย่างใด เลยทำให้ตนเกิดความนับถือศรัทธาพระรูปนี้อย่างมาก เพราะรู้สึกว่าทำให้ชีวิตตนดีขึ้นมาจริงๆ
หลังจากนั้นตนก็ศรัทธาและไปปฏิบัติธรรมที่สำนักสงฆ์แห่งนี้เป็นประจำจนใช้เวลาประมาณ 10 ปี แต่ช่วงหลังๆเจ้าสำนักสงฆ์ เริ่มยัดเยียดความเชื่อเกี่ยวกับการ "ถวายตัว" ว่าเป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้หลุดพ้น บรรลุธรรมจากการละทิ้งสังขารร่างกาย เพียงแต่วิธีการที่จะบรรลุไปถึงจุดนั้นได้ จะต้องผ่านการร่วมสังวาส
ต่อมาช่วงปลายปี 2564 พระสงฆ์รูปนี้เริ่มมีอาการป่วย อ้างกับตนและแฟนว่า พระใกล้มรณภาพแล้ว สังขารจะไม่ไหวเพราะใช้พลังงานในการสั่งสอนธรรมเทศนา และช่วยให้คนหลุดพ้นทุกข์เป็นจำนวนมาก เลยทำให้พลังงานของท่านเริ่มจะหมดลง หากหมดพลังท่านก็จะตายไป พระรูปนี้จึงได้มาสอบถามตนกับแฟนถึงความสมัครใจ ที่จะเข้าสู่การปฏิบัติพิธีกรรมในขั้นสูง โดยอ้างว่าต้องทำพิธีด้วยความสมัครใจเท่านั้น พร้อมพูดจาหว่านล้อมว่า พิธีกรรมดังกล่าวคือการถวายตัวแก่พระ เพื่อเป็นการถวายพลังงานให้ท่านมีชีวิตรอดต่อไปได้ ซึ่งตนกับแฟนเห็นว่าพระรูปนี้เคยช่วยเหลือตนมาหลายครั้งแล้ว จึงควรที่จะตอบแทนแก่ท่านบ้าง เลยตัดสินใจที่จะเข้าร่วมพิธี
หลังจากนั้นก็จะเป็นการพิธีถวายตัว โดยการบังคับให้ตนและแฟนหนุ่ม มีสัมพันธ์กับพระรูปนี้ โดยพระจะบังคับให้คู่ร่วมเพศปิดตา และให้ลูกศิษย์ถ่ายคลิปวิดีโอ โดยอ้างว่าคลิปและภาพเหล่านี้จะนำไปถวายแด่เทพเจ้าในลัทธิวัชรยาน เพื่อเป็นการบูชา เมื่อทำพิธีกรรมนี้เสร็จสิ้นลง ปรากฏว่าพระรูปนี้อ้างว่ามีร่างกายที่แข็งแรงขึ้นและหายป่วยจากโรคภัยไข้เจ็บได้ เลยทำให้ตนตอนนั้นเริ่มเชื่อและศรัทธา แต่พระก็ยังให้ตนและแฟน เข้าร่วมทำพิธีลักษณะแบบนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการให้ทำพิธีมีสัมพันธ์หมู่กับบรรดาลูกศิษย์ที่เป็นฆราวาสของสำนักสงฆ์ ครั้งหนึ่งสูงถึง 4-5 ราย โดยอ้างว่าการมีสัมพันธ์หมู่ จะเป็นการครบองค์ประกอบสำคัญของการบรรลุธรรมขั้นสูง
ตนกับแฟนต้องทนทุกข์ทรมาน เพราะด้วยความเชื่อและศรัทธาแบบผิดๆแบบนี้มานาน ถึงช่วงต้นปี 2565 แฟนเลยมานั่งพูดคุยกันและรู้สึกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ถูกต้อง มันไม่ตรงตามหลักพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เป็นเพียงแค่การล่อลวงให้มีเพศสัมพันธ์เท่านั้นและรู้สึกตกใจอย่างมากว่า เกิดอะไรขึ้นกับตนและแฟน เลยตัดสินใจที่จะละทิ้งสำนักสงฆ์ดังกล่าวและไม่กลับไปยุ่งกับสำนักสงฆ์แห่งนี้อีก จนถูกพระ Video Call ให้ติดตามกลับไปทำบุญที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ แต่ตนไม่ตัดสินใจกลับไปแล้ว
หลังจากนั้น 2 ปี ทั้งตนและแฟนต้องพบจิตแพทย์ เพื่อบำบัดสุขภาพจิตใจของตนเอง หลังจากผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ มาอย่างยาวนาน ตอนนี้จิตใจเริ่มดีขึ้นแล้ว จึงตัดสินใจมาร้องเรียนเพจสายไหมต้องรอด
ซึ่งทาง นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด รับฟังเรื่องนี้แล้ว ก็ช่วยประสานกับทาง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อขอให้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวแล้ว
ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2567 นายสุพัฒน์ เมืองมัจฉา ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า จากกรณีที่มีผู้ร้องเรียนถูกพระเจ้าสำนักชื่อดัง จ.เพชรบูรณ์ อ้างจะสิ้นอายุขัย ให้ลูกศิษย์สาวสวยมาต่ออายุด้วยการมีเพศสัมพันธ์ ทำพิธีต่อหน้าลูกศิษย์และสามี แลกหลุดพ้นบ่วงกรรมนั้น ทาง พศ. ได้ประสานสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์แล้ว ได้รับแจ้งว่า ได้นำเรียนเจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ (ม) เพื่อโปรดทราบ และพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
โดยเจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ได้สั่งการให้เจ้าคณะปกครองสงฆ์ในพื้นที่ลงไปสถานที่ที่ปรากฏตามข่าว ซึ่งเป็นที่พักสงฆ์แห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่ ต.ปากช่อง อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ชื่อ "พุทธสถานวิหารธรรม" ในเบื้องต้นปรากฏว่าไม่พบบุคคลที่ปรากฏในข่าว ซึ่งคาดว่าเป็นพระครูปลัดธวัชชัย ชีวสุทโธ หรือพระอาจารย์โอ พุทโธรักษา ประธานที่พักสงฆ์ พบแต่เพียงพระลูกวัด 1 รูป สอบถามพระลูกวัดบอกว่าท่านออกจากที่พักสงฆ์ไปตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย. 2567 ไม่ทราบว่าเดินทางไปจังหวัดใดและตอนนี้ยังไม่สามารถติดต่อทางโทรศัพท์ได้
ต่อมาเวลาประมาณ 17.00 น. พศ. ได้รับแจ้งจาก พศจ.เพชรบูรณ์ ซึ่งได้ดำเนินการร่วมกับทางคณะสงฆ์จังหวัดเพชรบูรณ์ว่า พระสงฆ์รูปที่ปรากฏเป็นข่าว ได้สำนึกผิดและทำการลาสิกขาเรียบร้อยแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดความมัวหมอง และความเสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์ของคณะสงฆ์ โดยมีเจ้าคณะปกครองสงฆ์ในพื้นที่ได้ทำพิธีลาสิกขาให้เรียบร้อยแล้ว พร้อมกันนี้ ทางคณะสงฆ์จะมีคำสั่งให้ปิดที่พักสงฆ์ดังกล่าวต่อไป