ชี้มูลความผิด 3 นายตำรวจยศใหญ่ รวยผิดปกติ ชงยึดทรัพย์ - ไล่ออก

มติ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด 3 ตำรวจยศใหญ่ พบร่ำรวยผิดปกติ มูลค่า 3 นายเกือบ 100 ล้านบาท ชงยึดทรัพย์ - ไล่ออกฐานทุจริต

"3 ตำรวจยศใหญ่ร่ำรวยผิดปกติ" ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (22 ส.ค. 67) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริจแห่งชาติ (ป.ป.ช)  แถลงว่า ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด นายบุญสืบ ไพรเถื่อน (ขณะนั้น ยศ พล.ต.ต.) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจน้ำ กองบังคับการตำรวจน้ำกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่ำรวยผิดปกติ 
 

 

โดยข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า นายบุญสืบ ขณะดำรงตำแหน่งรักษาการแทนในตำแหน่ง ผู้บังคับการตำรวจน้ำ และตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจน้ำ มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ ซึ่งสืบเนื่องจากการเรียกรับเงิน จากผู้ลักลอบจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงโดยผิดกฎหมาย และผู้ประกอบการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงหลายรายเป็นรายเดือน มีการนำเงินฝากเข้าบัญชีเงินฝากของตนและคู่สมรส 


และมีการนำเงินไปชำระเบี้ยประกันชีวิต รวมจำนวน 36,770,717.76 บาท ซึ่งรายละเอียดด้วยดังนี้
1. บัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสีลม ประเภทออมทรัพย์ ชื่อบัญชี นายบุญสืบ ไพรเถื่อน จำนวน 10 รายการ รวมเป็นเงิน 2,369,455 บาท
2. บัญชีธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาประชานิเวศน์ 1 ประเภทออมทรัพย์ ชื่อบัญชี นายบุญสืบ ไพรเถื่อน จำนวน 9 รายการ รวมเป็นเงิน 2,503,750 บาท

 


3. บัญชีธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) สาขามาบุญครอง ประเภทออมทรัพย์ ชื่อบัญชี นายบุญสืบ ไพรเถื่อน จำนวน 9 รายการ รวมเป็นเงิน 1,400,000 บาท 
4. บัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาประชานิเวศน์ 1 ประเภทออมทรัพย์ ชื่อบัญชี นางจุฑามาส ไพรเถื่อน คู่สมรส จำนวน 128 รายการ รวมเป็นเงิน 23,456,162.76 บาท 
5. บัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาประชานิเวศน์ 1 ประเภทประจำ 3 เดือน ชื่อบัญชี นางจุฑามาส ไพรเถื่อน คู่สมรส จำนวน 1 รายการ จำนวน 5,000,000 บาท

 

6. เงินที่ชำระเบี้ยประกันชีวิตกับบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,041,350 บาท ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมตินายบุญสืบ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจ ในตำแหน่งหน้าที่ รวมมูลค่า 36,770,717.76 บาท 

ชี้มูลความผิด 3 นายตำรวจยศใหญ่ รวยผิดปกติ ชงยึดทรัพย์ - ไล่ออก


โดยให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน และให้ส่งคำวินิจฉัย พร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุป ไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออกภายใน 60 วัน 


โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ตามพ.ร.ป.จะว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม  หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของ แผ่นดินได้ทั้งหมด หรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายใน ระยะเวลา 10 ปี ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 125


พร้อมกันนี้ นายนิวัติไชย ยังแถลงอีกด้วยว่า ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด พ.ต.อ.นพดล นิลมานนท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการ กองบังคับการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ร่ำรวยผิดปกติ โดย ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ในปี พ.ศ. 2556 - 2559 พ.ต.อ.นพดล ขณะดำรงตำแหน่งดังกล่าว ได้นำเงินสินบนรางวัลนำจับคดียาเสพติดที่เกิดจากการทำเรื่องขอเบิกโดยปลอมสายลับหรือผู้นำจับ รวม 44 คดี ฝากเข้าบัญชีเงินฝากของตนเอง จำนวน 61,652,888 บาท 


และมีทรัพย์สินซึ่งไม่สัมพันธ์กับรายได้ที่ได้รับ จำนวน 10,786,000 บาท เป็นเงินที่นำฝากเข้าบัญชีเงินฝากของตนเอง จำนวน 17 รายการ รวมเป็นเงิน 3,486,000 บาท เงินที่นำไปซื้อบ้านพร้อมที่ดิน ตำบลริมกก อ.เมือง จ.เชียงราย จำนวน 6,000,000 บาท และที่ดิน ฝากเจ้า ต.ท่าสาย อ.เมือง จ.เชียงราย จำนวน 2 แปลง รวมเป็นเงิน 1,300,000 บาท


คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า พ.ต.อ.นพดล  ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ รวมมูลค่า72,438,888 บาท 


นอกจากนี้ ยังมีมติชี้มูลความผิด พ.ต.อ.หญิง เพชราภรณ์ มงพลเมือง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการ กองบังคับการสกัดกั้น การลำเลียงยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ร่ำรวยผิดปกติโดย


ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ในปี พ.ศ. 2558 - 2560 พ.ต.อ.หญิง เพชราภรณ์  ขณะดำรงตำแหน่งดังกล่าว มีรายการฝากเงินสดเข้าบัญชีเงินฝากหลายรายการ ซึ่งพ.ต.อ.หญิง เพชราภรณ์ ชี้แจงว่าได้นำทองคำที่ซื้อสะสมมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 - 2548 น้ำหนักทองรวม 120 บาทเศษ ทยอยขายในระหว่างปี พ.ศ. 2554 - 2555

 

แล้วนำเงินที่ ได้ไปชำระค่าที่ดินต.สันผักหวาน อ.หางดง จ.เชียงใหม่ จำนวน 2 แปลง รวมเป็นเงิน 2,200,000 บาท และชำระหนี้กับธนาคาร จำนวน 3 งวด รวมเป็นเงิน 713,200 บาท แต่จากการตรวจสอบรายได้ของพ.ต.อ.หญิง เพชราภรณ์ ช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2538 - 2548 มีรายได้ไม่เพียงพอที่จะซื้อทองคำสะสมได้


คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า พ.ต.อ.หญิง เพชราภรณ์ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือ มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติ ตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ รวมมูลค่า 2,913,200 บาท

 


โดยทั้ง 2 กรณีป.ป.ช.จะส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน 

 

และให้ส่งคำวินิจฉัย พร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุป ไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออกภายใน 60 วัน โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม


หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สิน ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของ แผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายใน ระยะเวลา 10 ปี ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 125
 

ชี้มูลความผิด 3 นายตำรวจยศใหญ่ รวยผิดปกติ ชงยึดทรัพย์ - ไล่ออก