แฉเส้นเงิน 39ล้าน ทนายตั้ม หลอก พี่อ้อย ใครคือ "นุ-สารินี" งานนี้คือ เชิดคุณ

"พี่อ้อย" แจ้งความ ทนายตั้ม เพิ่มเป็น 4 คดี ปานเทพ แฉขบวนการหลอกโอนเงิน 39 ล้าน นุ กับ สาริน คือใคร? ไม่เกี่ยวกับสแกมเมอร์เฉินคุน แต่เป็น "เชิดคุณ"ต่างหาก

คืบหน้า คดี พี่อ้อย “พี่อ้อย” น.ส.จตุพร อุบลเลิศ  แจ้งความ"ทนายตั้ม"ษิทรา เบี้ยบังเกิด เพิ่มเป็น 4 คดี โดยเป็นการหลอกโอนเงิน39 ล้าน พร้อมโกงค่าออกแบบโรงแรม 9 ล้าน ซึ่ง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์  ได้ออกมาขยายความคดีเงิน 39 ล้านบาท

โดย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ได้เปิดเผยความคืบหน้าว่า  พี่อ้อยได้แจ้งความทนายตั้มและพวกเพิ่มอีก 1 คดี  คือคดีจ้างออกแบบโรงแรมที่จ่ายเงินไป 9 ล้านบาท ตามที่ทนายตั้มแนะนำมา  แต่กลับไปให้อีกบริษัทออกแบบ ในขณะที่ค่าออกแบบจริง 3.5 ล้านบาทเท่านั้น 

แฉเส้นเงิน 39ล้าน ทนายตั้ม หลอก พี่อ้อย ใครคือ \"นุ-สารินี\" งานนี้คือ เชิดคุณ
จึงเป็นการแจ้งความรวม 4 คดีแล้ว

 

  1. คดีหลอกให้โอนเงิน โดยอ้างว่าเป็นค่าทำสลากออนไลน์ 71 ล้านบาท
  2. คดี ที่ตั้มแนะนำเพื่อนให้รู้จัก แล้วอ้างว่ากระเป๋าเงินดิจิตอลของตัวเองได้รับความเสียหาย จากทรัพย์สินในกระเป๋าเงินมีมูลค่า 39 ล้านบาท เพราะทำธุรกรรมให้พี่อ้อย  จึงถูกระงับบัญชีและไม่สามารถเปิดได้อีกเลย นำไปแจ้งความวันที่ 23 พฤษภาคม 2566  พี่อ้อยหลงเชื่อจึงโอนเงินให้ไป 39 ล้านบาท วันที่ 25 พฤษภาคม 2566
  3. คดีที่ให้เงินทนายตั้มไป 13 ล้านบาท แต่จ่ายเงินจริงไม่ถึง ถูกแจ้งความดำเนินคดีเสียหาย 1.5 ล้านบาท
  4.  คดีจ้างออกแบบโรงแรม 9 ล้านบาท มูลค่าจริง 3.5 ล้านบาท 

แฉเส้นเงิน 39ล้าน ทนายตั้ม หลอก พี่อ้อย ใครคือ \"นุ-สารินี\" งานนี้คือ เชิดคุณ

คำถามสำคัญคือเข้าเกณฑ์คดีฉ้อโกงเป็นปกติธุระแล้วหรือยัง  และเป็นการฟอกเงินแล้วหรือยัง?

ทั้งนี้เราสังเกตเห็นพบว่าในเรื่องรถ ทนายตั้มตะกุกตะกักในการแถลงข่าว ถึงขนาดตวาดไม่ให้ผู้สื่อข่าวบางคนสอบถาม และตะกุกตะกักเรื่องภาษีของเงิน 71 ล้านบาทที่ถามว่าได้จ่ายภาษีแล้วหรือยัง การไม่ได้สำแดงรายได้และคิดจะจ่ายภายหลัง เป็นการอำพรางหรือไม่ ซึ่งขัดแย้งกับที่ทนายตั้มเคยอ้างก่อนหน้านี้

แฉเส้นเงิน 39ล้าน ทนายตั้ม หลอก พี่อ้อย ใครคือ \"นุ-สารินี\" งานนี้คือ เชิดคุณ

นอกจากนี้ นายปานเทพ ยังโพสต์เผยรายละเอียด เรื่องคดีเงิน39ล้าน และ 2ตัวละคร “นุ” กับ “สารินี”

  • ขยายความคดีเงิน 39 ล้านบาท

เนื่องจากในเวลานี้สื่อมวลชนและคนที่มาวิจารณ์เรื่อง 39 ล้านบาทมีความคลาดเคลื่อนและปะปนกันกับพฤติการณ์ของก้อนเงินอื่นๆ อันอาจทำให้การวิเคราะห์สถานการณ์และการรายงานข่าวอาจไม่ถูกต้องครบถ้วนได้ เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะจึงเรียนให้ทราบอีกครั้งดังนี้

สรุปความว่า เมื่อวันที่ 3 พฤศจิายน 2567 เป็นวันแรกที่พี่อ้อยตัดสินใจแจ้งความเพิ่มเติมในคดี 39 ล้านบาท กับผู้ต้องหาและพวกในฐานความผิดร่วมกันฉ้อโกง และความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์

นับเป็นความคืบหน้าระหว่างการให้ปากคำ เพราะในครั้งแรกพี่อ้อยมาพบที่บ้านพระอาทิตย์ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย แต่ผมเป็นฝ่ายได้ยินข่าวจากสายข่าวว่ามีเรื่องเงิน 39 ล้านบาทเกิดขึ้นด้วยอย่างแน่นอนจึงได้เปิดประเด็นนี้นำเสนอข่าวไปก่อนที่ เพราะในเวลานั้นพี่อ้อย “ยังไม่รู้” ว่าตัวเองได้ถูกหลอกกันเป็นขบวนการไปแล้วหรือไม่ จึงยังไม่ได้แจ้งความในประเด็นนี้

หลังจากนั้นผมเจอพี่อ้อยครั้งที่ 2 ผมจึงได้เห็นหลักฐานว่า เรื่องเงิน 39 ล้านบาทนั้น เป็นเรื่องจริง และมีพิรุธหลายเรื่อง ยิ่งพี่อ้อยได้มาพบความจริงระหว่างให้ปากคำกับตำรวจ จึงตัดสินใจแจ้งความเพิ่มในเวลาต่อมา และไม่ขาดอายุความนับแต่วันที่รู้

แฉเส้นเงิน 39ล้าน ทนายตั้ม หลอก พี่อ้อย ใครคือ \"นุ-สารินี\" งานนี้คือ เชิดคุณ

สรุปความคือชายคนหนึ่งชื่อ “นุ” เป็นคนที่ทนายตั้มแนะนำมารู้จักพี่อ้อย ให้มาทำหน้าที่ในการโอนเงินบิทคอยน์ให้พี่อ้อยเข้าไปในอินสตาแกรมบัญชีหนึ่ง โดยพี่อ้อยโอนเป็นเงินบาทให้“นุ” 2 ครั้งเพื่อโอนบิดคอยน์ไปให้บัญชีอินสตาแกรมที่แอบอ้างว่าเป็นของนักแสดงชาวจีน ภายหลังต่อมาเชื่อว่าเป็นพวกมิจฉาชีพหลอกลวง หรือที่เรียกว่า สแกมเมอร์ แต่ก็ยังไม่ใช่ประเด็นแห่งคดีนี้ (ซึ่งที่ทนายตั้มพยายามพูดถึงช่วงเวลานี้อย่างเดียวแบบตัดตอน)

แต่ประเด็นแห่งคดีเกิดขึ้นหลังจากนั้น (ที่ทนายตั้มพยายามบ่ายเบี่ยงว่าตัวไม่รู้เรื่องและไม่ได้กล่าวถึงเลย) คือ “นุ” กับ “สารินี” ได้มาบอกอ้างกับพี่อ้อยว่า กระเป๋าเงินที่โอนเงินบิทคอยน์นั้น แท้ที่จริงเป็นของ “สารินี” และถูกระงับบัญชีเพราะไปพัวพันกับอินสตาแกรมมิจฉาชีพหลอกลวงบัญชีนักแสดงจีนรายนี้ และทำให้บัญชีถูกดูดเงินไปทั้งหมด ทำให้ “สารินี” เสียหายมูลค่า 39 ล้านบาทในบัญชีทั้งหมด

แฉเส้นเงิน 39ล้าน ทนายตั้ม หลอก พี่อ้อย ใครคือ \"นุ-สารินี\" งานนี้คือ เชิดคุณ

โดยวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 เวลาประมาณเที่ยง “สารินี” ได้ไป “ลงบันทึกประจำวัน“ ที่ สน.บางซื่อโดยอ้างว่า ”สารินีมีกระเป๋าเงินออนไลน์ชื่อบัญชีหนึ่งใน Gmail และโอนเงินสกุลบิดคอยน์ให้กับบุคคลไม่ทราบชื่อสกุล โดยใช้วิธีสแกนคิวอาร์โค้ดบัญชีหนึ่งจำนวน 7 ครั้ง คือ

  • ครั้งแรก 0.001 บิทคอยน์ = 120,000 บาท
  • ครั้งที่สอง 0.1358 บิทคอยน์ = 101,600 บาท
  • ครั้งที่สาม 0.1358 บิทคอยน์ = 101,600 บาท
  • ครั้งที่สี่ 0.1358 บิทคอยน์ = 101,600 บาท
  • ครั้งที่ห้า 0.1358 บิทคอยน์ = 101,600 บาท
  • ครั้งที่หก 0.9 บิทคอยน์ = 875,000 บาท
  • ครั้งที่เจ็ด 0.9 บิทคอยน์ = 875,000 บาท

รวมมูลค่า 2,276,400 บาท

และ “สารินี” ยังได้ลงบันทึกประจำวันต่อด้วยว่า “ปรากฎว่าหลังจากนั้นบัญชีที่เชื่อมต่อกับ Gmail ของสารินี รวมถึงแอพกระเป๋าเงินออนไลน์ ”ถูกระงับบัญชี ไม่สามารถเข้าได้อีกเลย“

จึงขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนตรวจสอบบัญชีปลายทางว่าเป็นของใคร และเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ อย่างไร ”สารินี“ จึงได้มาแจังความต่อพนักงานสอบสวนเพื่อขอให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดให้ถึงที่สุด

แฉเส้นเงิน 39ล้าน ทนายตั้ม หลอก พี่อ้อย ใครคือ \"นุ-สารินี\" งานนี้คือ เชิดคุณ

ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่า ”สารินี“ เสียหายจริงหรือไม่ และเสียหายมากถึง 39 ล้านบาทหรือไม่ และการไม่ลงบันทึกมูลค่าความเสียหาย 39 ล้านบาทในการแจ้งความกับตำรวจนั้นผิดวิสัยหรือไม่ เพราะเหตุใดจึงลงแต่ยอดเงินที่โอนไปโดยไม่กล่าวถึงมูลค่าความเสียหาย

และความน่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ “มีการถูกระงับบัญชี จนไม่สามารถเข้าบัญชีได้อีกเลย”เป็นความจริงหรือไม่?

โดย “นุ” กับ “สารินี” ได้นำใบแจ้งความไปบอกพี่อ้อย ยังได้ทะเลาะกันและร้องไห้ต่อหน้าพี่อ้อย เสมือนว่าเพราะทำธุรกรรมให้พี่อ้อยจึงทำให้ต้องเสียหายและเดือดร้อน ทำให้พี่อ้อยหลงเชื่อและรู้สึกเสียใจที่ทำให้ “นุ” และ “สารินี” ได้รับความเดือดร้อน จึงได้มอบแคชเชียร์เช็คจำนวนเงิน 39 ล้านบาท ให้กับ “สารินี” และ “นุ” เพื่อชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น

ต่อมา “พี่อ้อย”เพิ่งจะมาทราบว่าเรื่องที่ “นุ” และ “สารินี” (ที่ทนายตั้มพามา) มาบอกพี่อ้อยนั้น “ไม่ใช่ความจริงใดๆเลย” ส่วนไม่จริงอย่างไรนั้นจะยังไม่ขอเปิดเผยในเวลานี้

คำถามคือถ้าเช่นนั้น เงินที่พี่อ้อยจ่ายไป 39 ล้านบาทเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 ก็เป็นเรื่องที่ทรัพย์ถูกประทุษร้ายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน หรือไม่?

และอีกคำถามที่ตามมาคือ แล้วเงิน 39 ล้านบาทไปให้ใครกันแน่?

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากเงินเข้าบัญชี “สารินี” ไม่กี่วัน ก็มีการ “ถอนเงินสด” ทั้งก้อนออกจากบัญชีทั้งออกไป โดยมีบอดี้การ์ดหลายคนพร้อมกระเป๋าลากมาใส่เงินที่ธนาคาร ซึ่งขั้นตอนการถอนเงินสดโดย “ทนายคนดัง”น่าจะรู้เรื่องนี้ด้วยอย่างแน่นอน ส่วนจะรู้อย่างไรและเกี่ยวข้องแค่ไหนเชื่อว่าการให้ปากคำของพยานและหลักฐานได้ถูกรวบรวมและอยู่ที่ตำรวจครบถ้วนหมดแล้ว

ซึ่งความจริงจะเป็นอย่างไรไม่ขอเปิดเผยในเวลานี้ให้เสียรูปคดี อีกทั้งเงินก้อน 39 ล้านบาทจะไปที่ใครบ้างและจำนวนเท่าไหร่นั้น ก็จะยังไม่เปิดเผยในเวลานี้เช่นกัน ขอให้รอคำแถลงสรุปสำนวนจากตำรวจให้กระจ่างชัดเจนอีกครั้งว่าเป็น “ขบวนการ” แบ่งงานกันทำหน้าที่หรือไม่อย่างไร?

ดังนั้น 39 ล้านบาทนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับสแกมเมอร์เฉินคุนอะไรเลย ไม่ใช่เงินที่จ่ายให้ต่างชาติคนไหนด้วย เพราะมันเกี่ยวกับขบวนการในเมืองไทย เงินในเมืองไทย โดยคนไทยแท้ๆ ที่ไม่ใช่ “เฉินคุน” แต่เป็น “เชิดคุณ”ต่างหาก