- 22 ธ.ค. 2567
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กำลังเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของ "ไวรัสโนโร" ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการท้องร่วง แต่ยืนยันว่าไวรัสชนิดนี้ไม่ใช่โรคใหม่ และพบได้ทั่วไปตามฤดูกาล ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกและปฏิบัติตามสุขอนามัย
เฝ้าระวัง ไวรัสโนโร - นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสโนโร (Norovirus) เป็น เชื้อไวรัสก่อโรคอุจจาระร่วง สามารถรับเชื้อจากการปนเปื้อนในอาหาร น้ำดื่ม มือ หรือ วัสดุสัมผัสอาหารและนำเข้าปาก ซึ่งพบผู้ป่วยได้ในทุกกลุ่มวัย โดยเฉพาะเด็กเล็ก และผู้สูงอายุ เนื่องจากร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าวัยอื่น ผู้ป่วยมักเริ่มแสดงอาการหลังได้รับเชื้อ 12-48 ชั่วโมง โดยจะมีอาการอุจจาระร่วง อาเจียน ปวดท้อง ส่วนใหญ่จะไม่มีเลือดปนมากับอุจจาระ บางรายอาจมีอาการไข้และปวดศีรษะร่วมด้วย และจะมีอาการประมาณ 1-3 วัน
ในกรณีอาการรุนแรง มีความเสี่ยงต่อภาวะร่างกายขาดน้ำอาจเกิดการช็อก ความดันโลหิตต่ำ และอาจเสียชีวิตได้ โดยสถานที่มีคนอยู่จำนวนมากมักพบการระบาดมากที่สุด เช่น โรงเรียน และมักตรวจพบมากขึ้นในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากสภาวะอากาศที่เย็น ทำให้เชื้อสามารถแพร่กระจายได้ดี ส่งผลให้อาหารและน้ำดื่มมีโอกาสปนเปื้อนสูงขึ้น นอกจากนี้ยังทนต่อความร้อนและน้ำยาฆ่าเชื้อต่างๆ ได้ดี ทำให้แพร่กระจายเชื้อได้ง่ายและรวดเร็ว ดังนั้น ในช่วงฤดูหนาว มีโอกาสที่จะพบผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นได้
ไวรัสโนโรคืออะไร?
ไวรัสโนโรเป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดอาการอุจจาระร่วง หรือ ท้องเสีย เป็นสาเหตุของการระบาดของโรคอุจจาระร่วงที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อยที่สุดในโลก
การติดต่อ:
รับเชื้อได้จากการปนเปื้อนใน:
- อาหาร
- น้ำดื่ม
- มือ
- วัสดุสัมผัสอาหาร เช่น จาน ชาม ช้อน
- และนำเข้าปาก
กลุ่มเสี่ยง:
พบได้ในทุกกลุ่มวัย โดยเฉพาะ:
- เด็กเล็ก
- ผู้สูงอายุ (เนื่องจากร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าวัยอื่น)
- อาการ:
อาการมักเริ่มแสดงหลังได้รับเชื้อ 12-48 ชั่วโมง ได้แก่:
- อุจจาระร่วง (ท้องเสีย)
- อาเจียน
- ปวดท้อง
- ส่วนใหญ่จะไม่มีเลือดปนมากับอุจจาระ
- บางรายอาจมีอาการไข้และปวดศีรษะร่วมด้วย
- อาการจะเป็นอยู่ประมาณ 1-3 วัน
ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง:
ในกรณีอาการรุนแรง มีความเสี่ยงต่อ:
- ภาวะร่างกายขาดน้ำ
- ช็อก
- ความดันโลหิตต่ำ
- อาจเสียชีวิตได้
การระบาด:
- มักพบการระบาดมากในสถานที่ที่มีคนอยู่จำนวนมาก เช่น โรงเรียน
- มักตรวจพบมากขึ้นในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากสภาวะอากาศที่เย็น ทำให้เชื้อสามารถแพร่กระจายได้ดี ส่งผลให้อาหารและน้ำดื่มมีโอกาสปนเปื้อนสูงขึ้น
- เชื้อไวรัสโนโรมีความทนทานต่อความร้อนและน้ำยาฆ่าเชื้อต่างๆ ได้ดี ทำให้แพร่กระจายเชื้อได้ง่ายและรวดเร็ว
วิธีป้องกันไวรัสโนโร:
เนื่องจากไวรัสโนโรติดต่อได้ง่ายและรวดเร็ว การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเน้นที่สุขอนามัยส่วนบุคคลและสุขาภิบาลอาหาร ดังนี้:
- ล้างมือให้สะอาด: ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดอย่างน้อย 20 วินาที โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร ก่อนปรุงอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ และหลังสัมผัสสิ่งสกปรก หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือหากไม่สะดวกในการล้างมือด้วยน้ำและสบู่
- รับประทานอาหารที่ปรุงสุก: เลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ และหลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงทิ้งไว้นาน
- ดื่มน้ำสะอาด: ดื่มน้ำสะอาดที่ผ่านการกรองหรือต้มสุก
- ล้างผักและผลไม้: ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทาน
- ดูแลสุขอนามัยในครัว: รักษาความสะอาดของพื้นผิวในครัว อุปกรณ์ทำครัว และภาชนะใส่อาหาร
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย: หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการป่วย เช่น อุจจาระร่วง หรืออาเจียน
- จัดการสิ่งปฏิกูลอย่างเหมาะสม: หากมีผู้ป่วยในบ้าน ควรจัดการกับอุจจาระและอาเจียนอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค เช่น ใช้ผ้าชุบน้ำยาฆ่าเชื้อเช็ดทำความสะอาด และทิ้งในถุงพลาสติกที่ปิดมิดชิด
- หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด: โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด เพื่อลดความเสี่ยงในการรับเชื้อ
สรุป: ไวรัสโนโรเป็นสาเหตุทั่วไปของอาการท้องเสีย การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรักษาสุขอนามัยที่ดี โดยเฉพาะการล้างมือและการรับประทานอาหารที่ปรุงสุก หากมีอาการ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ และหากอาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์