ราชกิจจาฯ ประกาศแบงก์ชาติ ยกระดับความปลอดภัยการใช้งาน "โมบายแบงก์กิ้ง"

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศแบงก์ชาติ ยกระดับความปลอดภัยการใช้งาน "โมบายแบงก์กิ้ง" ออกมาตรการสำคัญ มีผลภายใน 30 วันหลังประกาศ เช็กมีอะไรบ้าง

เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2568 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ 4/2568 เรื่อง การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการให้บริการทางการเงินและการชำระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ สำหรับสถาบันการเงิน ตามประกาศฉบับนี้ ระบุว่า

 

ราชกิจจาฯ ประกาศแบงก์ชาติ ยกระดับความปลอดภัยการใช้งาน "โมบายแบงก์กิ้ง" ราชกิจจาฯ ประกาศแบงก์ชาติ ยกระดับความปลอดภัยการใช้งาน "โมบายแบงก์กิ้ง"

ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology : IT) มีบทบาทสำคัญสำหรับการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะการให้บริการทางการเงินและการชำระเงินผ่านแอปพลิเคชันของสถาบันการเงินแก่ผู้ใช้บริการที่เป็นบุคคลธรรมดาบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ (บริการ Mobile Banking) ที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง


ขณะเดียวกันการให้บริการ Mobile Banking ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ (cyber threat) และภัยทุจริตทางการเงิน (fraud) ที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและใช้เทคนิควิธีการที่ซับซ้อนมากขึ้น อันอาจสร้างความเสียหายต่อผู้ใช้บริการในวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของระบบสถาบันการเงินและระบบการชำระเงินของประเทศ


ธนาคารแห่งประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญในการป้องกันภัยทุจริตดังกล่าว จึงได้ออกประกาศหลักเกณฑ์การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการให้บริการทางการเงินและการชำระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ เพื่อยกระดับการให้บริการ Mobile Banking ให้มีมาตรฐานขั้นต่ำที่จำเป็น

 

สำหรับหลักเกณฑ์การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการให้บริการทางการเงินและการชำระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ประกอบด้วยมาตรการ 2 ส่วน ได้แก่


1. การป้องกันการสวมรอยทำธุรกรรม แทนผู้ใช้บริการ (Unauthorized Payment Fraud)


2. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของบริการ Mobile Banking คือการป้องกันการสวมรอยทำธุรกรรมแทนผู้ใช้บริการ สถาบันการเงินต้องมีการป้องกันการสวมรอยทำธุรกรรมแทนผู้ใช้บริการโดยอย่างน้อยต้องดำเนินการ ดังต่อไปนี้

การป้องกันการสวมรอยทำธุรกรรมแทนผู้ใช้บริการ

 

สถาบันการเงินต้องมีการป้องกันการสวมรอยทำธุรกรรมแทนผู้ใช้บริการ โดยอย่างน้อยต้องดำเนินการ ดังต่อไปนี้

 

1. งดเว้นการแนบลิงก์ผ่านช่องทางข้อความสั้น (SMS) และช่องทางอีเมล แต่สำหรับกรณีช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ (social media) ให้สถาบันการเงินงดแนบลิงก์เฉพาะที่มีการขอข้อมูลในการยืนยันตัวตน หรือข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อผู้ใช้งาน รหัสผ่าน รหัสใช้ครั้งเดียว (one time password – OTP) รหัส PIN หมายเลขบัตรประชาชนชน วันเดือนปีเกิด เพื่อป้องกันการสวมรอยเป็นสถาบันการเงิน การขอให้เปิดเผยข้อมูลสำคัญ (sodal engineering) หรือการถูกติดตั้ง mobile malware


อย่างไรก็ดี สถาบันการเงินสามารถแนบลิงก์ผ่านทั้ง 3 ช่องทางดังกล่าวได้หากผู้ใช้บริการดำเนินการร้องขอเอง โดยสถาบันการเงินสามารถแนบลิงก์ได้เป็นรายครั้ง พร้อมทั้งต้องมีการสื่อสารย้ำให้ผู้ใช้บริการทราบว่าการส่งลิงก์ดังกล่าวเป็นกรณีเฉพาะตามคำร้องขอของผู้ใช้บริการเป็นรายครั้งเท่านั้น


2. มีกระบวนการติดตามและรับมืออย่างทันการณ์ต่อแอปพลิเคชันที่ปลอมแปลง หรือแอบอ้างเป็นแอปพลิเคชันของสถาบันการเงินที่ให้บริการ Mobile Banking ในแพลตฟอร์มที่เป็นทางการของผู้ให้บริการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน (official app store) เช่น Google Play Store Apple App Store รวมทั้งมีกระบวนการรับมือและตอบสนองอย่างเหมาะสมและทันการณ์สำหรับแอปพลิเคชันปลอมแปลงที่อยู่นอกแพลตฟอร์มดังกล่าว เพื่อลดความเสี่ยงที่ผู้ใช้บริการจะหลงเชื่อและเปิดเผยข้อมูลสำคัญ ถูกติดตั้ง malware หรือถูกติดตั้งแอปพลิเคชันปลอบ


3. จำกัดการใช้บริการ Mobile Banking ของผู้ใช้บริการไว้เพียง 1 บัญชีผู้ใช้งานต่อ 1 บริการ Mobile Banking ของแต่ละสถาบันการเงิน และจำกัดการใช้บริการดังกล่าว โดยให้ใช้งานบน 1 อุปกรณ์เคลื่อนที่ของผู้ใช้บริการเท่านั้น


4. ต้องจัดให้มีกระบวนการยืนยันตัวตนผู้ใช้บริการเพิ่มเติมในขั้นตอนการทำธุรกรรมผ่านบริการ Mobile Banking บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ โดยใช้เทคโนโลยีเปรียบเทียบใบหน้า (face comparison) ร่วมกับการตรวจจับการปลอมแปลงชีวมิติ (presentation attack detection) ที่สามารถป้องกันการใช้รูปภาพ วิดีโอ หรือการปลอมแปลงชีวมิติในรูปแบบต่าง ๆ ได้ เช่น การใช้ เทคโนโลยี liveness detection เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใช้บริการเป็นผู้ทำธุรกรรมด้วยตนเอง ซึ่งต้องจัดให้มีกระบวนการยืนยันตัวตนผู้ใช้บริการเพิ่มเติมดังกล่าวอย่างน้อยในกรณี ดังต่อไปนี้

 

  • การทำธุรกรรมโอนเงินในแต่ละครั้งมีมูลค่าตั้งแต่ 50,000 บาท ขึ้นไป หรือ การทำธุรกรรมโอนเงินมูลค่ารวมกัน ครบทุก 200,000 บาท ในรอบระยะเวลา 1 วัน หรือ การปรับเพิ่มวงเงินการทำธุรกรรมโอนเงินต่อวัน ให้สามารถได้ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป


ทั้งนี้ กรณีที่ผู้ใช้บริการมีข้อจำกัดในการใช้เทคโนโลยีเปรียบเทียบใบหน้า (face comparison) เช่น เป็นคนพิการทางสายตา สถาบันการเงินอาจพิจารณางดเว้นการยืนยันตัวตนเพิ่มเติมตามที่กำหนดข้างต้นได้ โดยต้องมีแนวทางลดความเสี่ยงทดแทน หรือกรณีการทำธุรกรรมที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น การทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างบัญชีตนเอง การทำธุรกรรมโอนเงินประจำ อัตโนมัติ (automatic recurring transfer) ที่ได้ยืนยันตัวตนไปแล้วในครั้งแรก สถาบันการเงินอาจพิจารณางดเว้นการยืนยันตัวตนเพิ่มเติมตามที่กำหนดข้างต้นได้


5. กำหนดเพดานวงเงินสูงสุดต่อวันสำหรับธุรกรรมถอนเงินหรือโอนเงินผ่านบริการ Mobile Banking ให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงของกลุ่มผู้ใช้บริการ เพื่อลดความเสียหายเมื่อผู้ใช้บริการตกเป็นเหยื่อ หรือถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทุจริต เช่น กรณีกลุ่มผู้ใช้บริการที่อายุต่ำกว่า 15 ปี ให้กำหนดวงเงินสูงสุดของการทำธุรกรรมถอนหรือโอนเงินรวมกันไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน เป็นต้น


ทั้งนี้ วันเริ่มต้นบังคับใช้ประกาศนี้ ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 30 วัน นับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป

 

ราชกิจจาฯ ประกาศแบงก์ชาติ ยกระดับความปลอดภัยการใช้งาน "โมบายแบงก์กิ้ง" ราชกิจจาฯ ประกาศแบงก์ชาติ ยกระดับความปลอดภัยการใช้งาน "โมบายแบงก์กิ้ง"

 

คลิกอ่านประกาศฉบับเต็มที่นี่

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Thailand Web Stat