รู้หรือไม่? โรคต้องห้าม ขึ้นเครื่องบิน เสี่ยงอันตราย

โรคที่ห้ามขึ้นเครื่องบิน คุณรู้หรือไม่ว่ามีโรคอะไรบ้างที่ห้ามขึ้นเครื่องบิน? มาดูกันว่าโรคใดบ้างที่อาจทำให้การเดินทางของคุณกลายเป็นฝันร้าย

รู้หรือไม่? “โรคต้องห้าม” ขึ้นเครื่องบิน เสี่ยงอันตราย การเดินทางโดยเครื่องบินอาจดูเหมือนสะดวกสบาย แต่สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด การขึ้นเครื่องบินอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ คุณรู้หรือไม่ว่ามีโรคอะไรบ้างที่ห้ามขึ้นเครื่องบิน? มาดูกันว่าโรคใดบ้างที่อาจทำให้การเดินทางของคุณกลายเป็นฝันร้าย

 

รู้หรือไม่ โรคต้องห้าม ขึ้นเครื่องบิน เสี่ยงอันตราย รู้หรือไม่ โรคต้องห้าม ขึ้นเครื่องบิน เสี่ยงอันตราย

ข้อมูลจาก นพ. ธีระพร ไทยจินดา สมิติเวช ให้รายละเอียดไว้ดังนี้ค่ะ 

โรคหัวใจ 

  • ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary heart disease)  หรือโรคหัวใจล้มเหลว (Congestive heart failure) ควรตรวจร่างกาย โดยไม่มีอาการเจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย หรือไม่มีหัวใจเต้นผิดปกติ อย่างน้อย 6 สัปดาห์ก่อนโดยสารเครื่องบิน  หากมีความจำเป็นสามารถเดินทางหลังมีอาการ 2-3 สัปดาห์  แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์และต้องแจ้ง

 

ผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery bypass grafting)

  • เนื่องจากการผ่าตัดอาจเกิดอากาศในโพรงช่องหน้าอก จึงควรรอให้อากาศถูกดูดซึมไปหมดก่อน หรือภายใน 2 สัปดาห์ภายหลังผ่าตัด  และควรเตรียมยาไว้ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่อง ให้เพียงพอในการเดินทาง  ทั้งนี้ควรเขียนรายละอียดและวิธีใช้ยาแต่ละชนิดเก็บไว้เผื่อจำเป็นต้องซื้อใหม่ กรณียาสูญหาย

 

โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)

  • ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง สามารถขึ้นเครื่องบินได้ โดยควบคุมความดันโลหิตด้วยการรับประทานยา และควรเตรียมยาให้พร้อมและเพียงพอกับระยะเวลาเดินทาง

รู้หรือไม่ โรคต้องห้าม ขึ้นเครื่องบิน เสี่ยงอันตราย รู้หรือไม่ โรคต้องห้าม ขึ้นเครื่องบิน เสี่ยงอันตราย

 

โรคลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ (Venous thrombosis)

  • แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ (Deep Vein Thrombosis) มักเกิดขึ้นบริเวณขา และภาวะลิ่มเลือดอุดตันในปอด (Pulmonary Embolism) เกิดขึ้นเมื่อลิ่มเลือดที่อุดกั้นหลุดไปตามกระแสเลือดและไปอุดตันบริเวณหลอดเลือดดำในปอด ซึ่งผู้โดยสารเครื่องบินมักประสบปัญหา ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำภายในกล้ามเนื้อน่อง การศึกษาของ WHO พบว่าความเสี่ยงของภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ เพิ่มขึ้น 2 ถึง 3 เท่าหลังจากโดยสารเที่ยวบินระยะไกลนานกว่า 4 ชั่วโมง

 

โรคหืด (Asthma)

  • กรณีอาการรุนแรงไม่สามารถควบคุม หรือเพิ่งออกจากโรงพยาบาล  ควรงดการเดินทางด้วยเครื่องบิน  หากอาการไม่รุนแรงควรมียาติดตัวขึ้นเครื่องไปด้วยโดยเฉพาะยาชนิดพ่น

 

โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease)

  • ผู้ป่วยมักมีอาการเมื่ออยู่ในภาวะพร่องออกซิเจน  ดังนั้นจึงควรพกยาขยายหลอดลม และแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบเพื่อเตรียมอุปกรณ์กรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน

 

โรคลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอด (Pneumothorax) คือภาวะที่มีลมค้างในช่องเยื่อหุ้มปอด

  • ส่งผลให้กระบวนการหายใจผิดปกติ หากมีความจำเป็นต้องเดินทางด้วยเครื่องบิน  ควรพบแพทย์เพื่อใส่ท่อระบายลมออกจากปอด หลังจากนั้นต้องรอให้ปอดขยายตัวเต็มที่อย่างน้อย 7 วัน โดยการเอกซเรย์ปอด หรือ คอมพิวเตอร์เอกซเรย์ ก่อนเดินทาง

 

โรคติดเชื้อ (Infectious disease)

  • สามารถแพร่เชื้อหรือติดต่อไปยังผู้อื่น ห้ามเดินทางโดยเครื่องบิน  เนื่องจากการแพร่เชื้ออาจเกิดขึ้นระหว่างผู้โดยสารที่นั่งอยู่ในพื้นที่เดียวกันของเครื่องบิน ซึ่งมักเกิดจากการไอหรือจามของบุคคลที่ติดเชื้อหรือโดยการสัมผัส  เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ ผู้ป่วยควรชะลอการเดินทางจนกว่าจะหายดี

 

โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular disease)

  • ภาวะต่างๆ ที่ส่งผลต่อการส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง ได้แก่  ภาวะสมองขาดเลือดชั่วขณะ (Transient ischemic attack) ภาวะเลือดออกในสมอง (Intracerebral hemorrhage) และภาวะหลอดเลือดตีบ อุดตัน หรือแตก (Stroke) ซึ่งส่งผลให้เซลล์สมองได้รับออกซิเจนน้อยลง เมื่อขึ้นเครื่องบินซึ่งมีภาวะพร่องออกซิเจน อาจส่งผลให้อาการกำเริบ ดังนั้นก่อนเดินทางควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาและรับยา รวมถึงข้อควรปฏิบัติขณะอยู่บนเครื่องบิน โดยอาการต้องคงที่อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนเดินทาง

 

โรคลมชัก (Epilepsy)

  • โรคลมชัก มีโอกาสชักได้ง่ายขึ้นในภาวะพร่องออกซิเจน เหนื่อยล้าอ่อนเพลีย วิตกกังวล และการเปลี่ยนแปลงของเวลา ควรพบแพทย์เพื่อเตรียมยาหรืออาจเพิ่มขนาดของยา ขึ้นกับความสามารถในการควบคุมโรค และไม่ควรเดินทางหลังจากชักหมดสติ อย่างน้อย 1 สัปดาห์

 

โรคโลหิตจาง (Anemia)

  • ร่างกายมีปริมาณเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ทำให้นำออกซิเจนไปยังเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ได้น้อยลง  ซึ่งเสี่ยงอันตรายจากภาวะพร่องออกซิเจนบนเครื่องบิน กรณีมีความเข้มข้ของฮีโมโกลบินต่ำกว่า 10 กรัม/เดซิลิตร ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ และไม่ควรขึ้นเครื่องบินหากค่าฮีโมโกลบินน้อยกว่า 7.5 กรัม/เดซิลิตร

 

โรคเบาหวาน (Diabetes)

  • แม้สภาพภายในห้องโดยสารเครื่องบินจะไม่ส่งผลอันตรายต่อผู้ป่วยเบาหวาน แต่การบินข้ามเวลา อาจทำให้ผู้ป่วยสับสนในการรับประทานอาหารและยา  รวมถึงประเภทของอาหารที่อาจส่งผลกระทบต่อโรค ผู้ป่วยควรติดต่อขอให้สายการบินจัดเตรียมอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และนำยาติดตัวขึ้นเครื่องบิน ทั้งยารับประทาน และยาฉีด พร้อมอุปกรณ์ สำหรับการรับประทานยาให้ยึดเวลาต้นทาง แล้วค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับเวลาใหม่

 

โรคทางจิตเวช (Psychiatric disorders)

  • ก่อนเดินทางด้วยเครื่องบินต้องได้รับคำรับรองจากแพทย์ผู้ทำการรักษาว่าอาการสงบ เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและผู้โดยสารอื่น ๆ  แพทย์อาจสั่งยาระงับประสาทหรือยานอนหลับ สำหรับใช้ระหว่างการเดินทาง

 
ผู้ป่วยผ่าตัด

  • การผ่าตัดหรือการบาดเจ็บที่อาจมีอากาศหรือก๊าซหลงเหลืออยู่  เช่น การผ่าตัดช่องท้องและทางเดินอาหาร การผ่าตัดกะโหลกศีรษะและใบหน้า รวมถึงการผ่าตัดตาที่เกี่ยวข้องกับลูกตา  ผู้ป่วยที่เพิ่งผ่านการผ่าตัด ควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษา ว่าควรรอนานแค่ไหนก่อนที่จะเดินทางด้วยเครื่องบิน 

 

 

ขอขอบคุณ : ข้อมูลจาก นพ. ธีระพร ไทยจินดา สมิติเวช

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Thailand Web Stat