- 07 ก.พ. 2566
‘บก.น.2’ พร้อม ‘กระทรวงทรัพยากรฯ’ ลงพื้นที่ตรวจสอบหลังพบ ‘ลาลิซ่า อาบอบนวด’ เคยลอบใช้น้ำบาดาลแทนน้ำประปา ด้าน ผบก.น.2 แจงหากต้องการเปิดสถานบริการดังกล่าวต้องทำให้ยื่นขอใบอนุญาตใหม่เนื่องจากที่ได้มาใบเก่าชื่อไม่ตรงกัน
เมื่อวันที่ 6 ก.พ. เวลา 11.30 น. ที่ลาลิซ่า อาบอบนวด ถนนรัชดา พล.ต.ต. อรรถพล อนุสิทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางเข้าตรวจสอบ สถานบริการ ลาลิซ่า อาบอบนวด ซึ่งเป็นสถานบริการขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ภายในซอยรัชดาภิเษก 17 เพื่อตรวจสอบกรณีมีการลักลอบใช้น้ำบาดาลหรือไม่ หลังจากก่อนหน้านี้ ตำรวจ สน.สุทธิสาร ได้เข้าจับกุมฐานลักลอบเปิดให้ใช้บริการก่อนได้รับใบอนุญาต
หลังเข้าตรวจค้นโดยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง พล.ต.ต.อรรถพล เผยว่า จากการตรวจค้นในวันนี้ เนื่องจากเมื่อปี 2561 สถานบริการแห่งนี้ เคยมีประวัติถูกดำเนินคดีเรื่องการลักลอบเจาะน้ำบาดาล ดังนั้น พอมีการแจ้งว่าจะเปิดให้บริการอีกครั้ง เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานกรมทรัพยากรน้ำบาดาลให้เข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง
จากการตรวจสอบที่จุดที่เคยลักลอบเจาะขุดน้ำบาดาลนั้น พบว่ามีการโบกปูนทับปิดไปแล้ว และจากการเดินสำรวจโดยรอบบริเวณก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการลักลอบใช้น้ำบาดาล นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรน้ำบาดาลยังได้ตรวจวัดค่านำไฟฟ้าของน้ำที่ใช้ในสถานที่ พบว่าตรงกับค่ามาตรฐานของน้ำประปาในวันนี้ ซึ่งวัดจากสถานีจ่ายน้ำประปาบางเขน รวมทั้งยังได้ตรวจเก็บตัวอย่างน้ำประปาจากสถานประกอบการในบริเวณใกล้เคียงโดยรอบ ซึ่งพบว่าค่าออกมาใกล้เคียงกัน
ส่วนกรณีการลักลอบเปิดโดยไม่มีใบอนุญาตนั้น ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาตรวจสอบไปแล้ว และเมื่อวันที่ 30 ม.ค. ก็ได้ไปประชุมหารือกับสำนักงานเขตดินแดงในการตรวจสอบเรื่องการขอใบอนุญาต ซึ่งพบว่าผู้ประกอบการมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในเรื่องการตีความข้อกฎหมาย โดยเข้าใจว่าการซื้อใบอนุญาตประกอบกิจการมา ก็สามารถใช้ดำเนินการต่อได้เลย ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ได้มีการชี้แจงเรื่องข้อกฎหมายให้ทราบไปแล้วว่า ไม่สามารถทำได้เพราะชื่อผู้ประกอบกิจการไม่ใช่บริษัทเดิม จำเป็นต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติก่อน โดยหากจะเปิด ต้องดำเนินการได้ 2 วิธี ได้แก่ ยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการใหม่ / หรือหากจะใช้ใบอนุญาตเดิม ก็ต้องไปประชุมกรรมการบริษัทเดิม ให้เปลี่ยนชื่อกรรมการหุ้นส่วนผู้จัดการ และขอตรวจสอบคุณสมบัติผู้ประกอบการด้วยว่าไม่เป็นบุคคลต้องห้าม
เนื่องจากใบอนุญาตประกอบกิจการเดิมนั้น ชื่อผู้ประกอบกิจการ เป็นชื่อบริษัท หจก.เวนิส และ หจก.ชวาลา ซึ่งเปิดบริการในชื่อ โคปาคาบาน่า แต่ที่จะขอเปิดใหม่นั้น ชื่อผู้ประกอบกิจการ เป็นชื่อบริษัท หจก.ลาลิซ่า 2020 และ หจก.เดวิสโคปาคาบาน่า เปิดในชื่อ ลาลิซ่า ซึ่งผู้ประกอบการรายใหม่นี้ เป็นชาวไทย และยังไม่เคยยื่นขอตรวจสอบคุณสมบัติต้องห้ามแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 และ สน.สุทธิสาร ก็ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลในเชิงลึกด้วยว่า การประกอบกิจการนี้จะเข้าข่ายการเป็นตัวแทนเพื่ออำพรางอะไรหรือไม่ เพราะอาจไปเกี่ยวข้องกับผู้ที่มีประวัติถูกอายัดทรัพย์ หรืออาจเป็นการดำเนินการเพื่ออำพรางการทำธุรกิจอย่างอื่น โดยยืนยันว่า ตำรวจได้ข้อมูลแล้วพอสมควร แต่ยังไม่ขอเปิดเผย ซึ่งก็ได้ให้ผู้ประกอบการ นำเอกสารและข้อมูลเข้ามาแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วย โดยวันนี้ก็ได้เรียกพยาน คือ เจ้าหน้าที่เขต และกรรมการผู้มีอำนาจในบริษัทมาสอบปากคำด้วย
ส่วนการลักลอบเปิดนั้น ก็ได้ชี้แจงและกำชับว่าเจ้าหน้าที่จะต้องเข้ามาตรวจสอบอย่างเข้มงวด หากพบว่ายังฝ่าฝืน ก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งจากการตรวจสอบสภาพด้านในพบว่า พร้อมเปิดให้บริการประมาณ 80-90% ยังมีบางส่วนที่ปรับปรุงทำระบบไฟอยู่ ทั้งนี้ การที่มีการกระทำผิดเรื่องการลักลอบเปิดไปแล้วนั้น จะส่งผลต่อการพิจารณาใบอนุญาตประกอบการกิจการหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการที่พิจารณา
ขอบคุณข้อมูลจาก Police TV by UCI Media