- 21 พ.ย. 2560
ส.บอลจับมือสนง.ตำรวจแห่งชาติตั้งโต๊ะแถลงข่าวจับกุมขบวนการล้มบอลไทย เผยถูกผู้อิทธิพลในวงการบังคับเพื่อแลกผลประโยชน์
เมื่อเวลา 14.00น. วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน 2560 ภายในห้องศรียานนท์ โซนซี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการแถลงข่าว การปราบปรามขบวนการล้มบอลไทย โดยมี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นประธานในการแถลงข่าวออกหมายจับ 12 ผู้เกี่ยวข้อง
โดยสมาคมฯได้รับเบาะแสว่า มีเกมการแข่งขันบางคู่ มีความน่าสงสัยว่าจะมีกำหนดผลการแข่งขันล่วงหน้า เช่น มีการเสียประตูช่วงท้ายเกมแบบผิดปกติ จึงได้มอบหมายให้ สนง.ตำรวจแห่งชาติ ตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามขบวนการล้มบอลจนพบหลักฐานว่า มีเบื้องหลังจากเว็บไซต์พนันฟุตบอลต่างประเทศ ได้ดำเนินผ่านตัวแทนในไทย เพื่อติดต่อกับ ผู้บริหารทีม, ผู้ตัดสิน หรือนักฟุตบอล ให้มีกำหนดผลการแข่งขันล่วงหน้า หรือล็อคสกอร์ เพื่อให้ผลตามที่นายทุนต้องการ
ซึ่งจากการสอบสวน ได้มีการยอมรับสารภาพว่าได้รับเงินจากตัวแทนให้การแข่งขันล็อคผลสกอร์จริง นำมาสู่การขยายผลและพนักงานสืบสวนสอบสวน โดยได้ยื่นต่อศาลอาญา รัชดาภิเษก เพื่อออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องกับการล้มบอลซึ่งมี 12 รายด้วยกัน
โดย พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฯกล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า “สืบเนื่องจากตัวผมเอง หลังจากได้เข้ามาทำหน้าที่นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ก็มีคำถามจากสื่อมวลชนก็ดี จากแฟนบอลก็ดี และประชาชนคนไทยก็ดี เกี่ยวกับการแข่งขันกีฬาฟุตบอลในประเทศ ในลีกต่างๆ ว่ามีการกำหนดผลการแข่งขันล่วงหน้า หรือที่เรียกว่า ล็อคผลการแข่งขันล่วงหน้าหรือไม่ มีจริงไหม ก็อยากจะพิสูจน์ว่ามันมีจริงหรือเปล่า ผมก็ได้เรียนหารือกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ขอความร่วมมือจากท่าน ในฐานะที่ท่านเป็นตำรวจ ก็ให้ความร่วมมือด้วยดี ท่านก็ได้สั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาตั้งคณะทำการขึ้นมาร่วมกันเกือบปี เพื่อที่จะรวบรวมพยานหลักฐานให้ได้มากที่สุด เพราะมันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน”
“เราไม่อยากทำอะไรโดยที่ไม่มีหลักฐานเพียงพอจนไม่สามารถเอาผิดกับผู้ที่อยู่ในขบวนการนี้ได้ ก็ขอขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง”
“เราทำงานมาด้วยกัน ด้วยความร่วมมือกับสปอร์ตเรดาร์ของเอเอฟซี แต่ไม่ได้มีการให้ข่าวหรือเปิดเผยข่าวเพราะอยากให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยก่อน ผมอยากจะบอกสื่อมวลชนว่าเรื่องการล็อคผลฟุตบอลไม่ใช่เพิ่งมี มันมีมานานแล้วเป็น 10 ปี แต่ไม่มีการดำเนินการใดๆ หรือทำให้กระจ่าง”
“ในอดีต ผู้มีอิทธิพลในวงการกีฬา ได้มีการขอร้อง บังคับ เสนอข้อแลกเปลี่ยนในด้านต่างๆ เพื่อที่จะกำหนดผลการแข่งขัน สร้างประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง ซึ่งในอดีตยังไม่ค่อยรุนแรง แต่ต่อมาเมื่อฟุตบอลมีการพัฒนาเป็นอาชีพ ผลประโยชน์ก็มากขึ้นไม่วาจะการสนับสนุนจากสมาคม, การกีฬาแห่งประเทศไทย หรือแม้แต่สปอนเซอร์สินค้า ทำให้บุคคลที่ผมที่กล่าวจึงคิดจะเอาเปรียบด้วยการกำหนดผลการแข่งขันล่วงหน้า และยิ่งในปัจจุบันการพนันเข้าถึงง่าย บุคคลเหล่านี้ก็เลยเอาประโยชน์จากการกำหนดผลการแข่งขันล่วงหน้ามาเล่นการพนัน”
“มีคำถามถึงผม ถ้าว่าเป็นแบบนี้เช่นนี้แล้ว วงการฟุตบอลจะตกต่ำ เสื่อมเสีย หรือเสียความเชื่อถือไหม ผมขอเรียนว่าถ้าการล้มบอลเปรียบเสมือนโรคร้าย เรารู้ว่ามันมีก็ต้องรักษา ถ้ารู้ว่าเป็นมะเร็งร้ายก็ต้องผ่าตัด การผ่าตัดมันก็ต้องเจ็บ แต่ก็มีโอกาสหาย แต่ถ้าไม่รักษาปล่อยให้อยู่กับเราไปเรื่อยๆก็รอวันตาย ซึ่งผมกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติประเมินผลได้ผลเสียมาแล้ว ซึ่งผลเสียมันมีมากกว่า ดังนั้นเราจะไม่รอวันตายเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน”
“ขบวนการของบุคคลเหล่านี้จัดตั้งกันครบวงจร ทั้งนายทุนในประเทศไทยและนายทุนต่างประเทศ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญเจ้าหน้าที่, ผู้ตัดสิน และบุคคลที่อยู่ในข่ายมาสอบปากคำ มาซักถาม ทุกคนยืนยันว่ามีจริงและมีมานานแล้วแต่ไม่ได้รับการแก้ไข”
“วันนี้ทุกคนกล้าพูดกล้าเปิดเผย เพราะทุกคนรู้ว่าการทำงานของตำรวจมันปกปิดไม่ได้ และหลังจากนี้ 12 คนที่ออกหมายจับไม่ได้หมดแค่นี้ ถ้ามีหลักฐานเชื่อมโยงก็จะสืบสาวต่อไป” นายกสมาคมฯกล่าวทิ้งท้าย
ซึ่งการล้มบอลถือเป็นเรื่องรุนแรงมากในวงการฟุตบอล สำหรับโทษของการล้มบอลพระราชบัญญัติส่งเสริมกีฬาอาชีพ (พ.ร.บ.กีฬาอาชีพ) พ.ศ.2556 ที่ว่าด้วยการกระทำผิดส่วนดังกล่าวอยู่ในส่วนที่ 2 โทษอาญา ประกอบด้วย
มาตรา 64 ผู้ใดให้ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่นักกีฬาอาชีพหรือผู้อื่น เพื่อจูงใจให้นักกีฬาอาชีพกระทําการล้มกีฬา ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000-500,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา 65 ผู้ใดเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเองหรือผู้อื่นเพื่อให้มีการกระทําการล้มกีฬา ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000-500,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา 66 ผู้ใดให้ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ผู้ตัดสินหรือผู้อื่นเพื่อจูงใจให้ผู้ตัดสินทําหน้าที่ตัดสินไม่เป็นไปตามระเบียบหรือกติกาการแข่งขัน หรือทําหน้าที่ตัดสินอย่างไม่ถูกต้องเที่ยงธรรม ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 5 ปีหรือปรับตั้งแต่ 200,000-500,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา 67 ผู้ตัดสินใดเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเองหรือผู้อื่น เพื่อทําหน้าที่ตัดสินไม่เป็นไปตามระเบียบหรือกติกาการแข่งขันหรือทําหน้าที่ตัดสินอย่างไม่ถูกต้องเที่ยงธรรม ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่ง 1-10 ปีหรือปรับตั้งแต่ 300,000-600,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ