- 02 เม.ย. 2560
หลวงพ่อโสธร และ พระพุทธรูปลอยน้ำ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดเหนี่ยวจิดใจชาวฉะเชิงเทรา หากบูชาจะช่วยขจัดโรคภัยไข้เจ็บ แต่มีบางอย่างต้องห้ามบนบานเด็ดขาด
ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธร
เรามักได้ยินคำเล่าขานเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์และอิทธิปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อโสธร ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้ที่มีความศรัทธา และทำให้มีประชาชนจำนวนมากต่างหลั่งไหลเข้ามากราบไหว้และขอบารมีจากหลวงพ่อปกป้องคุ้มครอง หรือรักษาโรคให้แคล้วคลาด จนมีการเล่าขานกันต่อ ๆ มาว่า ใช้ขี้ธูป ดอกไม้บูชาที่แห้งเหี่ยวแล้ว และอธิษฐานหยดเทียน ขอน้ำมนต์จากหลวงพ่อมาทำยา ปรากฏว่าโรคหาย จนกลายเป็นกิติศัพท์โด่งดังไปทั่ว
เรื่องอื่นบนได้หมดยกเว้นก็แต่เรื่องนี้
ด้วยเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธร ทำให้มีประชาชนเป็นจำนวนไม่น้อย เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ มาบนบานศาลกล่าว หวังพึ่งพาบารมีความศักดิ์สิทธิ์กันทั่วหน้า ว่ากันว่ามีอยู่เรื่องสองเรื่องเท่านั้นที่บนแล้วจะไม่สมหวัง คือเรื่องขอไม่ให้เป็นทหารกับเรื่องขอบุตร เล่ากันว่าเพราะหลวงพ่อชอบให้คนเป็นทหาร จะได้ปกป้องรักษาบ้านเมือง ใครมาบนว่าไม่อยากเป็นทหาร เชื่อหรือไม่ว่า…เป็นต้องถูกเกณฑ์ทุกราย ส่วนเรื่องบนบานขอบุตร ก็มักจะได้บุตรอาการไม่ครบ 32 ประการ เพราะท่านได้ส่งลูกหลานซึ่งเป็นทหารที่บาดเจ็บล้มตายมาให้นั่นเอง (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล จริงเท็จแค่ไหนต้องใช้วิจารณญาณให้ดี ๆ นะคะ)
ไข่ต้มแห่งความศรัทธา
ว่ากันว่าหลวงพ่อโสธรชอบไข่ต้ม เราจึงเห็นร้านขายไข่ต้มตั้งร้านเรียงรายอยู่รอบบริเวณเต็มไปหมด เพราะคนที่สมหวังจากคำบนบานจะนิยมแก้บนด้วยไข่ต้ม ซึ่งเป็นของหาง่ายในยุคแรก ๆ ของวัดโสธร หลังจากนั้นเลยนิยมใช้ไข่ต้มเป็นเครื่องแก้บนมาตั้งแต่นั้น แต่ก่อนก็มีพวกหมู เห็ด เป็ด ไก่ แต่ด้วยเพราะมีผู้คนจำนวนมาก เมื่อนำมาถวายเยอะ ๆ เข้า อาจทำให้ไม่สะดวก นอกจากนี้ยังมีการแก้บนด้วยพวงมาลัย และนางรำละครชาตรี หรือลิเก เป็นต้น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง ประชาชนยังคงแห่มากราบไหว้หลวงพ่อโสธรแน่นวัด และสนับสนุนซื้อดอกป๊อปปี้ เพื่อช่วยเหลือครอบครัวทหารผ่านศึก เนื่องในวันทหารผ่านศึก
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง สื่อหลายสำนัก...ยังคงติดตามกระแสดังปลาหน้าวัดหลวงพ่อโสธรที่นักท่องเที่ยวโต้เถียงกับแม่ค้าขายปลาปล่อยที่มีราคาแพง 15 ตัว 740 บาท
ประวัติ หลวงพ่อโสธร ฉะเชิงเทรา
มีเรื่องราวที่เล่าขานกันมานานแล้วในครั้งโบราณว่าในกาลครั้งนั้นยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา ตอนปลาย มีพระพุทธรูปลอยน้ำมา3องค์ที่แม่น้ำบางปะกง พอมาถึงบริเวณสถานที่ แห่งหนึ่ง ซึ่งเรียกชื่อว่าอะไรก็ไม่ประจักษ์ ก็มีชาวบ้านเห็นพระพุทธรูปลอยน้ำมาทั้ง 3 องค์เกิดเอะอะโวยวายขึ้นให้ช่วยกันอัญเชิญขึ้นมาบนฝั่ง ด้วยการเอาเรือออกไป อัญเชิญ ด้วยการช่วยกันยกขึ้นเรือแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะยกเอาขึ้นมาไม่ไหว จึงเปลี่ยนวิธีการเป็นเอาเชือกเส้นใหญ่ไปคล้ององค์พระทั้ง3องค์อย่างแน่นหนา แล้วให้ชาว บ้านที่มีอยู่ชักลากดึงจะเอาขึ้นมาบนฝั่งน้ำ ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จเพราะแรงชาวบ้านที่มีอยู่เป็นจำนวนมากมายนั้น
ไม่อาจจะฉุดดึงรั้งเอาองค์พระทั้ง3องค์ที่ลอยปริ่มๆน้ำอยู่ขึ้นมาได้ไม่สำเร็จ เพราะเชือกขาด รั้งเอาไว้ไม่อยู่ ประกอบกับ กระแสน้ำเกิดปาฏิหาริย์ปั่นป่วนขึ้นมาเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ทำให้พระพุทธรูปทั้ง3องค์จมหายลับสายตาไปท่ามกลาง ความเสียดายของผู้คนที่มีอยู่ ซึ่งเห็นเหตุการณ์อย่างชัดเจน พากันยกมือไหว้ท่วมศีรษะ บางคนก็พูดว่าไม่มีบุญเพียงพอที่จะ อัญเชิญพระพุทธรูปทั้ง3องค์ขึ้นมาได้
ผู้คนในสมัยนั้นโจษขานกันไปต่างๆนานาพากันคิดว่าอย่างนั้นคิดว่าอย่างนี้ไปจนบางทีก็เลยเถิดไปไหนต่อไหน บ้างก็ว่า เทวดาฟ้าดินไม่โปรด หลวงพ่อก็ไม่ยอมมาประดิษฐานอยู่บนฝั่งน้ำ หากอัญเชิญขึ้นมาได้แล้ว ก็จะอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดทันที เรื่องราวการโจษขานกันไปมากมายนี้เลยทำให้ชาวบ้านพากันเรียกสถานที่ ที่พระพุทธรูปทั้ง3 องค์ มาสำแดงปาฏิหาริย์ ลอยวนเวียนไปมาว่า "สามพระทวน" เรียกกันเรื่อยไปนานเข้าก็เพี้ยนกลายเป็น "สัมปทวน" กันไปในที่สุด
จากนั้นต่อมาพระพุทธรูปทั้ง3องค์ที่ลอยน้ำมาในแม่น้ำบางปะกงก็ล่องลอยกันไปเรื่อยๆ องค์หนึ่งลอยไปทางบางพลี ไปผุดขึ้นที่ลำคลองวัดบางพลี ชาวบ้านอัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานเอาไว้ที่วัดบางพลีได้โดยง่าย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะพระพุทธรูปองค์นี้ท่านต้องการจะประดิษฐานอยู่ ณ ที่ตรงนี้ก็ได้
อีกองค์หนึ่งลอยออกไปที่บริเวณบ้านแหลมสมุทรสงคราม ชาวบ้านตีอวนได้องค์พระขึ้นมาแล้วอัญเชิญไปประดิษฐาน ที่วัดบ้านแหลม หรือในปัจจุบันคือวัดเพชรสมุทรวรวิหาร
อีกองค์หนึ่งผุดขึ้นมาที่หน้าวัดเสาธงทอนหรือ "วัดโสธร"ที่แม่น้ำบางปะกงชาวบ้านช่วยกันฉุดลากขึ้นมาด้วยเชือก อีกเช่นเดียวกันแต่ก็ไม่สำเร็จไม่อาจจะอัญเชิญขึ้นมาบนบกได้ มีผู้เสนอให้ไปเชิญอาจารย์ผู้ที่มีความรู้ ทางด้านเวทมนต์คาถามา เพื่อทำพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้นมาจากกระแสน้ำให้ได้ซึ่งก็เป็นผลสำเร็จ เมื่ออาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณท่านนั้นตั้งศาล เพียงตาขึ้นมาตามโบราณพิธีแล้วเอาสายสิญจน์ไปคล้องเอาไว้ที่พระหัตถ์ ตอนนี้เองปรากฏว่าอัญเชิญเอาขึ้นมาบนฝั่งน้ำ ริมตลิ่งของวัดเสาธงทอนได้อย่างง่ายดายมาก แต่เมื่อเอาเชือกเส้นใหญ่ไปคล้องผูกมัดองค์ท่านแล้วดึงเข้ามาไม่เป็นผลอะไรเลย นับว่าเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดของผู้ที่พบเห็นเป็นอันมาก
เมื่อนำพระพุทธรูปที่ลอยน้ำขึ้นมาได้ ชาวบ้านก็อัญเชิญเข้าไปประดิษฐานเอาไว้ในพระอุโบสถทันทีรวมกับพระพุทธรูป องค์อื่นๆที่มีอยู่ พระพุทธรูปองค์นี้ปรากฏว่าเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยลงรักปิดทองเอาไว้ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าเป็นลักษณะ ของพระพุทธรูปศิลปะล้านช้าง คือศิลปะของเวียงจันทร์ ซึ่งมีการสร้างพระพุทธรูปลักษณะเช่นนี้กันทั่วไปที่ล้านช้าง และหลวงพระบางและเมืองอื่นๆที่ภูมิภาคแถบนี้ ดูได้จากพระพุทธรูปลักษณะเดียวกันที่เวียงจันทร์ และหลวงพระบางตลอดจนอินโดจีน รวมทั้งทางภูมิภาคของภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสาน ชาวบ้านเลยพากันถือ เป็นเรื่องสำคัญมากที่ได้ พระพุทธรูปองค์สำคัญนี้มาพากันมากราบไหว้กันมากมาย
ในครั้งกระโน้นเล่าลือกันไปทุกสารทิศทีเดียวพากันเรียกท่านว่า"หลวงพ่อโสธร"ตามชื่อวัดที่เปลี่ยนมาจาก "เสาธงทอน" แล้วก็เป็น "หลวงพ่อโสธร"มาตราบกระทั่ง ปัจจุบัน.
"หลวงพ่อโสธร" เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองแปดริ้วหรือจังหวัดฉะเชิงเทราโดยแท้จริงตลอดมา "หลวงพ่อพุทธโสธร" หรือ "หลวงพ่อโสธร" หน้าตักกว้าง 1.65 เมตร สูง1.48 เมตร เท่าที่มองเห็นองค์หลวงพ่อโสธรอยู่ในปัจจุบันนี้
ผู้รู้เล่าว่าองค์จริงของหลวงพ่อพุทธโสธรนั้นเป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ที่องค์เล็กกว่าที่เห็นกันอยู่ แต่เนื่องจาก หลวงพ่อโสธรเป็นพระพุทธรูปที่มีรูปลักษณ์งดงามมาก มีผู้เกรงว่าจะเป็นอันตรายอาจจะมีผู้ใจบาปมากระทำมิดีมิร้ายได้ จึงจัดการสร้างพระพุทธรูปปูนปั้นขึ้นใหม่แล้วเอาองค์จริงของหลวงพ่อโสธรประดิษฐานไว้ข้างในไม่ให้ใครเห็นจนบัดนี้.
ที่มา เฟสบุ๊ค วัดโสธรวราราม , พวกแปดริ้ว
travel.kapook.com