- 16 ต.ค. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th
นายกลับ คำทอง ชาวอำเภอทับเที่ยง จังหวัดตรังเป็นผู้ร้ายมาตั้งแต่สมัยดำ หัวแพร รุ่งดอนทราย สมัยรัชกาลที่ ๖ เจ้าหน้าที่จับไม่ได้สักที บางคนตามจับตั้งแต่หนุ่มจนแก่ เช่น คุณยุทธ ประภาวัฒน์ ตามจับอยู่ถึง ๑๑ ปี ไม่ได้พบเห็น ผู้คนต่างลือไปว่า นายกลับหรือลุงกลับนี้ มีวิชาล่องหนหายตัวทั้งอยู่ยงคงกระพัน เพราะนายกลับเป็นศิษย์ฆราวาสของสำนักเขาอ้อ เมืองพัทลุงอันมีชื่อเสียงไปทั่วภาคใต้
ลุงกลับมีเพื่อนเกลออยู่คนหนึ่งชื่อ อาจารย์นำ แก้วจันทร์ อายุอ่อนกว่า ลุงกลับถึง ๒๐ ปี แต่เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์คืออาจารย์ทอง แห่งสำนักเขาอ้อ คนทั้งสองเรียนวิชาจนทันกัน มีความสามารถเท่ากันแต่พระอาจารย์นำเลือกทางเข้าสู่บวรพุทธศาสนา แต่นายกลับ คำทอง เลือกที่จะเป็นโจร ตำรวจทั้งโรงพักไม่ว่าจะเป็นที่ตรังหรือพัทลุง ต้องลงบันทึกประจำวันว่าออกตามจับนายกลับ เนื่องจากนายกลับมีค่าตัวถึง ๖๐๐ บาท มากกว่าเงินเดือนนายร้อยตรีในสมัยนั้นสิบเท่า
ขุนพันธ์ตามล่านายกลับเป็นเวลานานตั้งเเต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๘ แต่คว้าน้ำเหลวมาตลอด แต่เนื่องจากตนเองมีความชอบด้านไสยศาสตร์ ก็มักไปหาพระอาจารย์นำที่สำนักเขาอ้ออยู่เสมอ และฝากตัวเป็นศิษย์ท่านอีกด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขุนพันธ์ได้ถามอาจารย์ว่า "จะมีวิธีจับนายกลับได้อย่างไร?" อาจารย์นำถึงกับหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องตลกก่อนตอบสั่นๆ มาว่า
"ถ้าจะจับนายกลับให้ได้ ต้องตามให้ทัน"
ขุนพันธ์ก็ออกไล่ล่านายกลับให้ได้ โดยใช้การประกบตัวคนใกล้ชิดและลูกศิษย์ของแก คือนายพ่วง บ้านอยู่คลองเรือห่างจากสถานีตำรวจประมาณ ๒ กิโลเมตร มีคดีฆ่าคนตาย แต่หลักฐานไม่เพียงพอ ตำรวจจึงต้องปล่อยตัวไป มือปราบพระกาฬได้เกลี้ยกล่อมให้มาร่วมมือกับตำรวจแล้วโทษอื่นจะช่วยให้หนักเป็นเบา นายพ่วงยอมตกลงหักหลังผู้เป็นอาจารย์ทันที ต่อมานายพ่วงรายงานว่า นายกลับจะไปทำการปล้นที่จังหวัดสงขลา ตอนนี้กำลังทำพิธีบวงสรวงเจ้าที่เจ้าทางอยู่ที่บ้านของนายพ่วง ท่านขุนฯ จัดกำลังเจ้าหน้าที่เดินทางไปทันที แต่ไปถึงพบกับความว่างเปล่า เพราะกลุ่มโจรของนายกลับได้หายไปหมด สอบถามเอาจากเพื่อนบ้านได้ความว่า ตอนทำพิธีลูกน้องลุงกลับห้อมล้อมเป็นวงกลม ตัวนายกลับอยู่ตรงกลางใส่มงคลอยู่ที่หัวคล้ายมงคลของนักมวย นั่งทำพิธีอยู่ชั่วครู่นายกลับบอกกับลูกน้องขึ้นว่า
"วันนี้เสียฤกษ์เเล้ว มงคลไม่เต้นแบบมีชีวิตชีวา เเต่สั่นเฉยๆ เป็นลางไม่ดี กินของเซ่นแล้วเเยกย้ายกันกลับซะ"
ของเซ่นเลยเป็นของกินของลูกน้อง จากนั้นพากันเเยกย้ายกันกลับ หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไปสามวัน นายกลับได้มาหานายพ่วงถึงที่บ้านพร้อมกับชี้หน้าด่า
"อ้ายพ่วง…มึงคิดไม่ซื่อกับกู คิดอ่านสมคบกับตำรวจตามจับกู ต่อไปนี้มึงกับกูเลิกคบกัน"
จริงๆ แล้วนายกลับควรจะฆ่านายพ่วง แต่เพราะความเป็นศิษย์เป็นครูเลยไม่ทำ อีกอย่างนายกลับไม่ใช่เป็นคนเหี้ยมในสันดาน นายกลับดำรงตนเป็นโจรถึง ๔๐ ปี เคยปล้นเพียงครั้งเดียว โดยมีเหตุผลที่ว่า การปล้นกฏหมายลงโทษหนัก เป็นเรื่องเอิกเกริกท้าทายกฏหมายสู้ย่องเบาไม่ได้ ทำงานเพียงคนเดียว
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าหลวงเมืองตรัง ได้เกลี้ยกล่อมลูกหลานนายกลับที่รับราชการบนศาลากลางจังหวัด ให้ไปอ้อนวอนนายกลับมามอบตัว โทษหนักจะเป็นเบานายกลับเห็นกับลูกหลานและวงศ์ตระกูลจึงติดต่อว่าจะเดินทางไปเข้าเรือนจำเอง เมื่อถึงเวลานัดนายกลับก็ไปจริงๆ วันนั้น ข้าหลวงนั่งอยู่หน้ามุขตีนเนินเฝ้าสังเกตการณ์ได้เห็นนายกลับเข้าไปหาพัศดีที่รอรับ พัศดีขอตีตรวนที่คอ มือเท้า ๒ ข้าง แต่นายกลับไม่ยอมโดยอ้างว่า
"นาย…ผมไม่ได้ถูกจับ ผมจะมาเข้าคุกเอง ถ้าทำอย่างนี้ผมไม่อยู่ ผมไปล่ะ"
ฝ่ายพัศดีเรือนจำก็ไม่ยอม เนื่องจากเป็นผู้ร้ายตัวสำคัญต้องปฏิบัติตามระเบียบ ไม่มีการยกเว้น แต่นายกลับหาได้สนใจ แกรูดโซ่ตรวนออกหมด แม้พัศดีจะพยายามจับแกใส่อีกนายกลับก็ถอดได้อีก ครั้งสุดท้ายแกถือมีดในมือเล่มเดียวเดินออกจากเรือนจำ พัศดีได้แต่ทำตาปริบๆ พูดไม่ออก ส่วนผู้คุมทรุดตัวลงนั่งลุกไม่ได้ ว่ากันว่า ทุกคนถูกอำนาจมนต์สะกด ฝ่ายขุนพันธ์ตามล่านายกลับอยู่หลายครั้ง ไม่ได้ตัวสักที ทั้งๆที่ทำตามอาจารย์นำที่สอน ได้แต่คิดปริศนานี้อยู่เรื่อยมา ในที่สุดก็มาคิดได้ คำที่ว่า
"ต้องตามให้ทัน" นั่นก็คือ ต้องเรียนรู้เรื่องไสยศาสตร์ให้ทันนายกลับ ขุนพันธ์เลยไปเรียนไสยศาสตร์เพิ่มเติมกับอาจารย์นำอีกมากมาย ซึ่งก็เรียนได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีพื้นฐานอยู่มากมาย
จนกระทั่ง เดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๘๕ นายเจิม ลูกงู ซึ่งเป็นสายให้กับตำรวจ เป็นคนควนขนุน พัทลุง เป็นคนเก่งมาก เพราะมีปานดำเป็นรูปกางเกง ไม่กลัวไฟ และของแหลมคม ในอดีตเคยเป็นพวกของนายกลับได้รายงานให้ขุนพันธ์ทราบว่า นายกลับไปได้เเม่ม่ายลูกติด อยู่ที่บ้าน ตำบลบ้านนา เมืองพัทลุง ขุนพันธ์จึงระดมพล ได้แก่ นายเจิม ลูกงู เป็นผู้นำทาง พลฯ บุญ กล้าหาญ พลฯ มน ขุนยัง พลฯ จำเนียร นาคะวิโรจน์ พลฯ กันภัย ณ ป้องเพชร และขุนพันธ์ออกเดินทางโดยว่าจ้างรถให้ไปส่ง พอไปถึงบ้านนาวงได้สั่งให้รถหยุดขุนพันธ์จ่ายค่ารถ ๓๐ บาท พร้อมกับสั่งให้รถกลับไปได้ไม่ต้องรอ
นายเจิมเดินหน้าพาเข้าป่าไปทางทิศเหนือ พอไปถึงสวนของชาวบ้านได้เห็นห้างบนต้นไม้ใหญ่ มีหลังคาและฝากั้นสูง ขณะนั้นเป็นเวลา ๒๓ นาฬิกา นายเจิมบอกให้พักที่นี่ก่อน
"รอจนถึงตี ๕ ค่อยไปกันต่อ ห้างนี้สูงถึง ๕ เมตร เสือคงกระโดดไม่ถึง"
ท่านขุนพูดเชิงติดตลกกับทุกคนว่า "เสือไม่กลัวราชสีห์ก็ลองดู"
คืนนั้นทุกคนนอนหลับกันไม่ลง เนื่องจากห่วงงานและมียุงกวนอยู่ตลอด พอถึงตี ๕ ทุกคนก็ลงจากห้าง นายเจิมได้บอกว่า
"ไม่ต้องรีบเดินกัน เพราะบ้านลุงกลับอยู่ไม่ไกล ๓๐ นาทีก็เดินถึง"
ประมาณตี ๕ ครึ่ง ตำรวจได้เข้าเขตบ้านนายกลับ ห่างจากเรือนไปทางทิศเหนือ ถึงเวลาหกโมงเช้า ร.ต.อ.ขุนพันธ์ และนายเจิมต่างก็เห็นนายกลับ เปิดประตูระเบียงเรือนออกมายืนนอกชาน ตรงที่ตำรวจซุ่มพอดีแกนุ่งผ้าพื้นลอยชายสีเขียวใบไม้ มีผ้าขาวม้าตาหมากรุกพาดไหล่ห้อยชายไปข้างหลังทั้งสองข้าง หันหน้าไปทิศตะวันออก มองดูรอบๆ ขุนพันธ์ชี้เป้าหมายให้ตำรวจดู แต่ไม่มีลูกน้องคนใดมองเห็นนายกลับเว้นแต่นายเจิมที่เห็นเช่นเดียวกับขุนพันธ์ จ้องมองราว ๑๕ นาที ก็มองไม่เห็นตัวนายกลับเสียเเล้ว สักครู่ได้ยินเสียงคนฟันไม้อยู่ทางทิศตะวันตกของเรือนนายเจิมบอกขุนพันธ์ว่า
"ลุงกลับแล้วก็ลูกเลี้ยงเป็นชาย อายุรา๑๗ ปี กำลังทำคอกควายใหม่"
แต่ไม่เห็นตัวเพราะมีหญ้ากอสูงท่วมหัวบังอยู่ จึงสั่งเคลื่อนที่ด้วยการคลานเข้าไป ห่างประมาณ ๘ วา ก็เห็นนายกลับเเละลูกเลี้ยงผูกรั้วเดินหน้าไปทางตะวันออก ลูกเลี้ยงปักกระทู้นำหน้า แม้จะใกล้ขนาดนั้นแล้วตำรวจใต้บังคับบัญชาก็ยังมองไม่เห็นนายกลับ พอดีห่างจากตัวนายกลับออกไปสัก ๒ วา เป็นจอมปลวกซึ่งมีต้นไม้ขึ้นขุนพันธ์คิดว่าหากนายกลับเดินไปยังจอมปลวก ตนเองและลูกน้องจะรีบเข้าไปถึงตัวเเล้วต่อยจับเอา เพราะคนอยู่ยงคงกระพันนั้นหากใช้ปืนยิงก็คงจับไม่ได้ จะเสียเวลาคนร้ายอาจหนีไปได้ จึงสั่งห้ามไม่ให้ใครยิง แต่ให้รีบเข้าไปช่วยตนเองตอนปล้ำจับ
นายกลับ คำทอง หารู้ไม่ว่าตำรวจอยู่ใกล้ตัวเเค่เอื้อม คงทำงานไปไม่สนใจอะไร เขามองดูต้นไม้สูงใหญ่เดินผ่านตำรวจไม่เกิน ๒ วา แต่ไม่มีตำรวจเห็น นายเจิมคงรำคาญเต็มทน จึงลุกขึ้นชันเข่าประทับปืนลูกซองเบรานิงยิงออกไป ๒ นัด แต่ไม่โดน นายกลับหันมามองแว๊บเดียวแล้วหันหลังวิ่งทันทีคราวนี้ตำรวจทุกคนเห็นนายกลับเเล้ว ทุกคนไล่กรวดเป็นเเถวหน้ากระดาน โดยมีพลฯ จำเนียรอยู่สุดแถวทางขวา มีพลฯ หาญอยู่ทางซ้าย พอวิ่งไปถึงปลายสวน พวกที่อยู่กลางแถวไปติดกอไผ่และยังมีคอกควายเก่าอยู่อีกด้วย พลฯ บุญวิ่งกระหนาบเข้าข้างซ้าย พลฯ จำเนียรวิ่งกระหนาบเข้ามาทางขวา นายกลับวิ่งวนไปมา แล้วล้มลงนอนหงายท้อง ชักมีดพกออกมาถือยันเอาไว้ไม่ให้พวกตำรวจเข้าไปใกล้ ด้วยการหมุนตัวไปรอบๆ พอได้จังหวะก็ลุกขึ้นวิ่งหนี ชนพลฯ บุญล้มลง แล้ววิ่งต่อไปถึงลำห้วยนายกลับกระโดดลงไป ในห้วยมีน้ำเพียงแค่ศอกจึงวิ่งลุยได้สบาย ทั้งคนร้ายทั้งตำรวจวิ่งลุยน้ำอยู่ในห้วย
นายกลับเตรียม วกขึ้นตลิ่ง พลฯ จำเนียรส่องด้วยปืนพระรามหกในระยะห่างเพียง ๒ วา ถูกตรงสะบัก ล้มหงายตึงลงมายังห้ายที่มีหาดทราย แล้วจู่ๆ นายกลับก็หายไปต่อหน้าเฉยๆ โดยไม่มีร่องรอย ขุนพันธ์เข้าใจว่า คนร้ายอาจหนีกลับไปบ้านของตนเพื่อเอาปืนและเครื่องรางฯ จึงนำกำลังกลับไปที่บ้านนายกลับ เจอเข้ากับลูกเลี้ยงจึงใช้ขึ้นไปเอาเครื่องรางลงมาให้ เพราะตำรวจไม่รู้ที่ซ่อน แต่ลูกเลี้ยงไม่ยอมเพราะกลัวนายกลับฆ่าเอาทั้งเเม่ทั้งลูก ขุนพันธ์จึงสั่งลูกน้องทั้งสี่คนขึ้นไปค้น แต่ค้นถึง ๓ เที่ยวก้ไม่เจอจึงพากันกลับโรงพัก ก่อนกลับได้กำชับว่าจะมาใหม่ในวันพรุ่งนี้ตอนเช้า เพื่อสอบถามเอาความจริง
รุ่งขึ้น ขุนพันธ์และลูกน้องชุดเดิมกลับมายังบ้านนายกลับ พบแต่ลูกเลี้ยงอยู่คนเดียว จึงได้ทราบว่าเมียนายกลับยังไม่มา พร้อมกับเล่าเรื่องเมื่อวานให้ทราบ ขณะที่ตำรวจขึ้นไปค้นบนบ้าน นายกลับก็ยืนอยู่ข้างๆลูกเลี้ยง แต่ตำรวจไม่เห็นกันเอง เมื่อตำรวจกลับหมดเเล้วนายกลับจึงสั่งให้ลูกเลี้ยงขึ้นไปเอาปืนกับเครื่องรางมาให้ ลูกเลี้ยงได้บอกกับนายกลับว่า
"ตำรวจขึ้นไปค้นตั้งหลายเที่ยว คงเอาไปหมดเเล้ว"
"ของยังอยู่ ตำรวจเอาไปไม่ได้" นายกลับบอก
"งั้นพ่อขึ้นไปเอาเองเถอะ" ลูกเลี้ยงเกี่ยง
"บ้านนี้ข้าจะไม่เหยียบอีก ๗ ปี เพราะไอ้นายร้อยคนนั้นได้ทำไว้หลายอย่าง"
ลูกเลี้ยงจึงขึ้นไปเอาให้ นายกลับบอกว่าจะเดินทางไปอยู่ตรังผู้กองมือปราบได้ถามต่อไปว่า นายกลับถูกตำรวจยิงเป็นไงบ้าง ลูกเลี้ยงตอบว่า…
"บวมระหว่างสะบัก โตเท่าผลส้มหัวจุกเห็นจะได้"
มาประมาณปลายปี ๒๔๘๕ ขุนพันธ์ได้ย้ายไปอยู่จังหวัดชัยนาท และย้ายกลับมาพัทลุง ในปี ๒๔๙๒ นายกลับอายุมากแล้ว ไม่ได้ประพฤติเช่นดังก่อน มาอยู่ที่บ้านเมียนาวง พอรู้ว่าขุนพันธ์กลับมาแกก็ย้ายหนีไปอยู่เมืองตรังทันที แม้ขุนพันธ์จะฝากข้อความผ่านไปยังอาจารย์นำว่าตนเองอยากพบสักครั้งหนึ่งที่พัทลุง แต่นายกลับไม่ยอมมาพบ โดยนายกลับบอกฝากคนมาว่า
"นายร้อยคนนั้นไว้ใจไม่ได้ มันยิงกูทีหนึ่งแล้ว กูไม่ขอพบ" เป็นอันว่าคนทั้งสองไม่ได้เจอกันจนแล้วจนรอด
ขอบคุณข้อมูลจาก : เพจ อภินิหาร ตำนาน พระเกจิฯ