- 08 พ.ย. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆอีกมากมาย ได้ที่ http://www.tnews.co.th
เรื่องเล่าของเสือไท คนส่วนมากเชื่อว่าจริง เพราะท่านเป็นศิษย์เกจิอาจารย์ ที่ขึ้นชื่อเรื่องการแสดงฤทธิ์ เกจิท่านนั้นคือ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า อ.ขุนพันธ์ ใช้เวลาถึงสองปี จึงทำให้เสือไทไว้ใจ และยอมรับเป็นศิษย์ ขณะนั้นอยู่ในปี๒๔๘๖ อ.ขุนพันธ์อายุ๔๐ นับเป็นช่วงที่เรียกได้เลยว่าเป็นจอมขมังเวท แต่เมื่อเจอเสือไท อ.ขุนพันธ์ยังสยบ ยอมยกให้เป็นอาจารย์
เล่ากันว่าเสือไท หรืออดีตทหารมหาดเล็กไท คนนี้ อดีตเป็นทหารคนสนิท ของเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานเป็นพิเศษ เพราะเนื่องจากในจำนวนทหารมหาดเล็ก ที่ใกล้ชิดทั้งหมด มหาดเล็กไท เป็นผู้มีความรู้ทางไสยศาสตร์ และมีคาถาอาคม ถูกพระทัย เสด็จในกรมเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาในช่วงสมัยรัชกาลที่๖ มหาดเล็กไท ประสบวิบากกรรม ต้องหาคดีอาญาร้ายแรง ต้องระหกระเหิน หลบหนี กลายเป็นเสือ ที่ทางราชการต้องการตัวเป็นอย่างมาก
จนแผ่นดินไท นี้ไม่กว้างขวางพอให้เสือไท ได้หลบซ่อนตัว เขาจึงต้องข้ามเขตชายแดนไปหลบซ่อน ที่ประเทศเพื่อนบ้าน ที่ลาว เขมร มาเล สิงคโปร์ ในช่วงนี้เอง ที่เสือไท ได้ใช้วิชาไสยศาสตร์ที่มีอยู่ ทั้งวิชา อยู่ยงคงกระพัน ล่องหน หายตัว หลีกหนี การจับกุม ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปได้ อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
เนื่องจากเสือไท มิใช่เสือร้าย โดยกมลสันดาน ท่านจึงหลีกเลี่ยงไม่ต้องการที่จะปะทะ กับ เจ้าหน้าที่บ้านเมือง เสือไท ไม่เคยปล้นคนดี ไม่เคยฆ่าเจ้าทรัพย์ หรือข่มเหงชาวบ้าน เสือไท จึงเป็นเสือร้าย ที่หนี คดีอาญา มากกว่าเป็นเสือปล้น แต่ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดัง จนคับฟ้า ในสมัยนั้น ทำให้มีผู้ นำชื่อเสือไท ไปใช้ ในทางที่ไม่ดี ไปก่อคดีปล้นฆ่า ในหลายจังหวัด
ทำให้เสือไทตัวจริง ทนอยู่ไม่ไหว จึงต้องออกไปจัดการกับเสือไทตัวปลอมโดยการฆ่าตัดหัว ทุกราย จนไม่มีใครกล้า นำชื่อเสือไท ไปปล้นฆ่าใครอีก ท่านขุนพันธ์ ท่านได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับเสือไทดีตั้งแต่ก่อนที่ท่านจะเข้ามารับตำแหน่ง ผู้บังคับกองตำรวจภูธรที่จังหวัดพิจิตร เนื่องจากผู้ให้ข้อมูลลับ กับท่านขุนพันธ์นั้น คือข้าราชการระดับสูงทางภาคใต้ ซึ่งเป็นอดีตทหารมหาดเล็กของเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และเป็นหนึ่งในทหารเสือ ของเสด็จในกรมฯ และเป็นผู้ที่รู้จักกับเสือไท เป็นอย่างดี
เมื่อสิ้นเสด็จในกรมฯ เสือไทได้หลบหนี หลบซ่อนตัวในหลายจังหวัด จนคดี หมดอายุความเสือไท ได้เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามใหม่ เดินทางเข้ามาใช้ชีวิต ในบั้นปลาย ที่จังหวัดพิจิตร ด้วยเหตุนี้ ชาวพิจิตร จึงไม่รู้จักเสือไท ทราบกันแต่ว่า ที่หมู่บ้านจระเข้ผอม ตำบลรังนก อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตรมีผู้เรืองอาคม และมีวิชาแก่กล้า มาอาศัยอยู่ ทุกคนเรียกชายสูงอายุนี้ว่าพ่อหลิม และชื่อพ่อหลิมนี้ก็คือ ชื่อใหม่ของเสือไท
ท่านขุนพันธ์ ใช้เวลานานสองปี กว่าจะได้พบพ่อหลิม โดยขุนพันธ์ต้องพิสูจน์ตัวเองหลายอย่าง ให้พ่อหลิม เชื่อใจ ก่อนที่จะรับท่านขุนพันธ์เป็นศิษย์ และสอนวิชาให้ เป็นที่ทราบกันดี ว่าพ่อหลิม หรือเสือไท เป็นผู้มีวิชาแก่กล้า ได้ร่ำเรียนวิชา มาจากพระเกจิอาจารย์หลายรูป อาทิ หลวงพ่อพริ้ง วัดบางประกอก หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน รวมทั้งอาจารย์ที่เป็นฆราวาส อีกหลายคน
กล่าวกันว่า วิชา ที่ท่านขุนพันธ์ ยังขาดอยู่และมีความประสงค์ อยากที่จะเรียนมากๆ คือวิชา คัดของ คัดธาตุทั้ง๔ออกจากตัวคน ที่มีวิชาอาคม หรือคัดออกจากเครื่องรางของขลัง เนื่องจากท่านขุนพันธ์เห็นว่ามีคนที่มีวิชาอาคม หลายๆคน ที่ท่านใช้ปืนจัดการกับเขาเหล่านั้นไม่ได้ วิชาคัดของนี้เป็นสุดยอดวิชา คงกระพันชาตรี ที่เกจิอาจารย์ส่วนใหญ่ไม่ยอมสอนให้ศิษย์โดยตรง ๆเนื่องจากถือว่าเป็นวิชาฆ่าคน ผิดศีล๕ข้อที่๑ที่ผู้สอนอาจถึงกับเสื่อมวิชา ที่มีอยู่ในตัวได้
นอกจากวิชานี้แล้วยังมีวิชากระสุนคด ที่เกจิอาจารย์จะไม่อยากสอนให้ใครง่ายๆ กระสุนคดเป็นวิชา ที่ยิงปืนเพียงนัดเดียว สามารถฆ่าคนได้ทั้งกองทัพ ซึ่งวิชานี้ เสด็จในกรม ท่านเคยกราบขอเรียนกับหลวงปู่ศุข แต่หลวงปู่ศุขท่านไม่ยอมสอน แต่เมตตา แสดงให้เสด็จในกรมได้เห็นว่าวิชานี้ เป็นวิชา ที่ทำได้จริง โดยเมื่อหลวงปู่ศุขใช้วิชานี้ ยิงปืนไปที่สระบัวใบ ที่วังนางเลิ้ง เพียงครั้งเดียว ทำให้ใบบัวนั้น ทะลุได้หมดทุกใบเลยทีเดียว แต่วิชานี้ เสือไท หรือพ่อหลิม เรียนได้สำเร็จ และทำได้จริงเรียนมาจากอาจารย์ท่านใด ไม่เป็นที่เปิดเผย
เกี่ยวกับวิชาคัดของคือ เมื่อผู้ใช้วิชานี้ ว่าคาถา และเล็งปืนไปยังร่างคนที่เราจะฆ่า หากคาถาได้ผล ร่างที่ตกเป็นเป้าหมายนั้นจะขยายใหญ่ขึ้นมารับศูนย์ปืน แต่ถ้าไม่ได้ผล ร่างนั้นก็จะย่อเล็กลง แสดงว่าผู้ที่เป็นเป้าหมายนั้น มีของดีคุ้มตัว ชื่อเสียงของพ่อหลิม ในเรื่องของวิชาคัดของนี้ มีอยู่ว่า ที่วัดจระเข้ผอม ที่ริมแม่น้ำยม ฝั่งตรงข้ามบ้านพ่อหลิม มักจะมีพวกร้อนวิชา นำพระเครื่อง และเครื่องรางของขลังของตนเอง แต่ละคน มาทดสอบกัน เป็นประจำ เสียงปืน สร้างความรำคาญให้แก่พระเณร และชาวบ้าน และหลวงพ่อหลิมด้วย
จนหลวงพ่อหลิมทนไม่ไหว เข้าไปดู แล้วบอกพวกร้อนวิชาเหล่านั้นว่า จะลองของไปทำไม กัน ของดีก็คือของดี ถึงเวลาก็รู้เอง แต่คนเหล่านั้น ก็ยังยืนยัน ว่าของขลังของตนแน่ และจะลองของกันต่อไป พ่อหลิมเลยขอลองบ้าง โดยบอกให้เอาของขลังที่ว่าแน่ๆ มาวางรวมกัน แล้วให้เจ้าของเครื่องรางคนหนึ่ง ไปหยิบปืนลูกซอง ที่พวกเขาว่ายิงของขลังไม่ได้ ทำยังไงก็ยิงไม่ออกนั่นเอง มาใช้เป็นอาวุธ หลวงพ่อหลิมพนมมือ กันหายใจว่าคาถา คัดของ คัดธาตุ แล้วเล็งกระบอกปืน ไปที่ของทั้งหมด แล้วเหนี่ยวไก ปืนลั่น ดังสนั่นเลย ของขลัง ทั้งหมด แตกกระจาย กระเด็นหายไปในอากาศ ท่ามกลาง ความตกตะลึง ของทุกคน เจ้าของ ของขลังบางคนถึงกับร้องไห้ เสียดาย ของขลังของตนเอง จากนั้นก็ไม่มีใครมาลองของให้หนวกหู พ่อหลิม อีกเลย
ปล.ขอขอบคุณ ท่านเจ้าของเรื่อง
ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของภาพ และที่มาเนื้อหาข้อมูลมา ณ ที่นี้
เผยแผ่บารมี และเทิดทูนเกียรติคุณครูบาอาจารย์