- 21 ก.พ. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
“ความตาย” เป็นเรื่องที่ไม่มีใครจะสามารถหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าจะ”มนุษย์ หรือสรรพสัตว์”ล้วนต่างก็ต้องประสบพบพานกับ ความตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ในหลักธรรมคำสั่งสอนทาง ศาสนาพุทธ สอนให้มนุษย์ รู้จักมี “มรณานุสติ”คิดถึงความตายอยู่เนืองๆ เพื่อให้มนุษย์ทุกคนใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท ดั่งเช่นคำพูดที่ว่า “ระหว่างพรุ่งนี้กับชาติหน้าไม่รู้ว่าอย่างไหนจะมาถึงก่อนกัน” ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นอุทาหรณ์ที่มีเอาไว้เพื่อสอนใจคนได้เป็นอย่างดี เอาล่ะทีนี้เราจะมาดูเรื่องความหมายของคำว่า ความตาย กันต่อเลยนะคะว่ามีเหตุความเป็นมาอย่างไร ทำไม ถึง เรียกกันว่า ความตาย เชิญรับชมได้ดังต่อไปนี้
ความตาย หมายถึง การสิ้นชีวิตนี้ มีประเภทและเหตุที่ทำให้มีการเกิดขึ้นของความตาย แบ่งแยกออกได้ 3 ประเภท คือ
1. ขณิกมรณะ หมายถึง ความดับของรูปนามที่เรียกว่า ภังคขณะ (รูปนามมีอาการ 3 คือ อุปปาทะ ฐีติ ภังคะ แปลว่า ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป) แม้สัตว์ยังมีชีวิตอยู่แต่รูปนามก็เกิดดับตลอดเวลา
2. สมมติมรณะ หมายถึง การของคน สัตว์ ต้นไม้ อันเป็นโวหารของชาวโลกที่ใช้เรียกกัน ทั่วๆ ไป แต่โดยปรมัตถ์ที่เพ่งถึงแก่นแท้แล้ว ไม่มีสัตว์ตาย และต้นไม้ก็ไม่มีชีวิตินทรีย์มีแต่อุตุชรูปเท่านั้น
3.สมุจเฉทมรณะ หมายถึง การปรินิพพานของท่านผู้สิ้นอาสวะ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้น
คำว่า “มรณะ” ที่จะกล่าวในเรื่องเหตุเกิดของความตายนี้ มุ่งหมายเอาเฉพาะสมมติมรณะและสมุจเฉทมรณะ 2 ประเภทนี้เท่านั้น ส่วน”ขณิกมรณะ”ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องความตายที่จะได้กล่าวในลำดับต่อไป
ความตาย หมายถึง การสิ้นชีวิตนี้ มีเหตุที่ทำให้ปรากฏเกิดขึ้น 4 ประการ คือ
1. อายุกขยระมรณะ ได้แก่ ตายเพราะสิ้นอายุ
2. กัมมักขยะมรณะ ได้แก่ ตายเพราะสิ้นกรรม
3. อุภยักขยะมรณะ ได้แก่ ตายเพราะสิ้นทั้งอายุและกรรมทั้งสองพร้อมกัน
4. อุปัจเฉทกมรณะ ได้แก่ ตายเพราะกรรมเข้าไปตัดรอน
แต่ทว่า! มนุษย์ และสรรพสัตว์ นั้นล้วนหาได้มีความสิ้นสุดลงที่ความตายไม่ เพราะแท้จริงแล้วการ “ตาย”เพียงแค่ หมายถึง ร่างกายมีสภาพที่ไม่สามารถจะให้บริการแก่จิตวิญญาณได้ใช้พักพิงอาศัยได้อีกต่อไป หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สภาพร่างกายมีความเสื่อมสภาพลงหมดอายุขัยไปแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงแม้ว่า วิญญาณ จะยังคงอยู่ แต่ก็ไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ วิญญาณ จึงจำเป็นต้องอาศัยอยู่ในโลกหลังความตาย นั่นเองค่ะ และยิ่งไปกว่านั้นก็คือสภาพของการตายก็ยังเป็นตัวบ่งชี้ให้รู้ได้ว่าจิตวิญญาณ ของผู้ตายไปสู่สุคติภูมิหรือลงไปสู่นรกภูมิ
ตอนตายใหม่ ถ้าหากสีหน้าปกติ ร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่เนื่องจากได้บรรลุธรรม ดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ
ตอนตายใหม่ๆ หน้าตาซีดผาด เหมือนคนตกใจ แสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว
ตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัว เพราะความตกใจ บางคนจะกรีดร้องเสียงคล้ายสัตว์ คนเหล่านี้จะไปเกิดเป็นสัตว์ 4 ชนิด สังเกตได้จากตา หู จมูก ปาก ตาจะมีน้ำตาออก หูจะมีขี้หู จมูกจะมีน้ำมูก ปากจะมีน้ำลายฟูมปากเป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทาง เมื่อจิตวิญญาณออกทางนี้ จะเกิดเป็นสัตว์ 4 ประเภท
-ตา ชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆ คนเหล่านี้เวลาใกล้ตาย ดวงตาจะเบิกกว้าง จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดออกจากไข่)
-หู ชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา คนเหล่านี้เวลาตาย หูจะชันขึ้น จะไปเกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากครรภ์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย
-จมูก ชื่นชมกลิ่นคาวโลกีย์ เช่น เงินทอง สุรา นารี การพนัน ชื่อเสียงลาภยศและค่านิยมที่ผิดศีลธรรม ฯลฯ จะไปเกิดเป็นแมลง มด ยุง แมลงวัน ฯลฯ บาปหนักมาก วิญญาณจึงถูกตีเป็นเศษวิญญาณ
-ปาก ชอบพูดเรื่องเหลวไหล พูดนินทา พูดวิจารณ์ พูดกล่าวร้ายป้ายสี ด่าคำหยาบคาย คนเหล่านี้เวลาตาย ปากจะอ้าค้างอยู่ตลอด จะเกิดเป็นสัตว์น้ำ ไปอยู่กับรสชาติที่โสโครกและสกปรก
ขอขอบคุณท่านผู้เป็นเจ้าของเครดิตภาพที่ผู้เขียนได้นำมาจาก(อินเตอร์เน็ต)เพื่อใช้ในการแสดงประกอบเนื้อหาสาระข้อมูลนี้ค่ะ!! ขอบคุณที่มาของภาพข้อมูลจาก:วิกิพีเดีย,
ไทยจ๊อป,และข้อมูลเพิ่มเติม,(บางส่วน)จาก :อินเตอร์เน็ตค่ะ
เรียบเรียงโดย: โชติกา พิรักษา และ ศศิภา ศรีจันทร์ ตันสิทธิ์