- 25 ก.พ. 2561
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.partiharn.com
(หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท)
หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท หรือ พระมงคลวุฒอดีตเจ้าอาวาสวัดสระกำแพงใหญ่ ต.สระกำแพงใหญ่ อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ และอดีตพระเกจิชื่อดัง-พระนักพัฒนาที่ชาวอีสานใต้ต่างให้ความเลื่อมใสศรัทธากันเป็นอย่างดียิ่ง ด้วยความเป็นพระเถระที่มีเมตตาธรรมขั้นสูง เคร่งครัดในพระธรรมวินัย เข้มขลังในวิทยาคมศักดิ์สิทธิ์ด้านเมตตามหานิยม เป็นที่พึ่งพิงทางจิตใจแก่ผู้ประสบทุกข์ร้อนเดือดร้อนทั้งหลาย
หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท มีนามเดิมว่า เครื่อง ประถมบุตร เกิดเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๕๓ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๘ ปีจอ ณ บ้านค้อกำแพง (ปัจจุบันคือ บ้านหนองแปน) หมู่ที่ ๓ ต.สระกำแพงใหญ่ อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายสอน และนางยม ประถมบุตร ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา ฐานะค่อนข้างยากจน
สมัยนั้นการศึกษาเล่าเรียนยังไม่เจริญเท่าที่ควร ในวัยเด็กเมื่อท่านอายุได้ ๘ ปี ได้ศึกษาเล่าเรียนหนังสือไทย ประถม ก. กา อยู่กับลุงเกษ ประถมบุตร ซึ่งเป็นครูสอนอยู่กับบ้านตอนเย็นหรือตอนกลางคืนเวลาว่างๆ เท่านั้น จึงทำให้การเรียนของท่านพออ่านออกเขียนได้ ครั้นต่อมาท่านอายุได้ ๑๕ ปี เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๗ ได้เข้าโรงเรียนรัฐบาลที่วัดสระกำแพงใหญ่ มีพี่น้องเข้าโรงเรียนพร้อมกันทั้ง ๓ คน เพราะไม่มีใครช่วยพ่อแม่ทำงานเกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์ โยมพ่อของท่านตั้งกติกาให้เปลี่ยนกันไปโรงเรียนคนละ ๗ วัน ทั้งนี้ทำให้หลวงปู่เครื่อง เรียนหนังสือไม่ได้เต็มที่เสียเวลาเรียน เรียนไม่ทันเพื่อน
ครั้นเวลาผ่านไป ทางราชการและครูไม่ยอมให้เปลี่ยนกันเรียน แต่ก็ต้องเปลี่ยนกันเรียนอยู่นั่นเอง เพราะเหตุดังกล่าวแล้วนั้น เมื่อหลวงปู่เครื่องมาโรงเรียนวันไหนจึงต้องถูกครูตีทุกวันเพราะเป็นการผิดกฎโรงเรียน จำเป็นก็ต้องทนอยู่ในสภาพนั้น ในเวลานั้นหลวงปู่เครื่องท่านเล่าว่าไม่รู้จะเชื่อฟังใครดี ผลที่สุด หลวงปู่ท่านก็ต้องหาอุบายแอบหนีญาติมาโรงเรียนคนเดียว ก็ทำให้มีความรู้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ซึ่งระยะนั้นท่านกำลังสนใจในการศึกษาเล่าเรียนหาความรู้เพิ่มเติมด้วยดี กอปรด้วยความขยันหมั่นเพียรยิ่งนัก ท่านเรียนได้ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ เท่านั้น ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ เรียนได้ครึ่งปี ทางราชการมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายใหม่ ผู้มีอายุได้ ๑๘ ปี ให้เสียค่าเล่าเรียนประถมศึกษาคนละ ๔ บาท เงิน ๔ บาทสมัยนั้นมีค่ามากนัก ด้วยความจำเป็น ท่านจึงต้องพ้นสภาพการเป็นนักเรียนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ต่อมาก็ได้อยู่ช่วยทำกิจการงานครอบครัวอย่างหนักเอาเบาสู้ ทำงานบ้านช่วยพ่อแม่ รับผิดชอบในหน้าที่ของผู้หญิงทุกอย่าง ตักน้ำตำข้าว เก็บผักหักฟืน หุงต้มเก็บหม่อนป้อนไหม ถอนกล้า ไถนา ปักดำ ทุกแขนงจนเกิดความเบื่อหน่าย จะไปเที่ยวเล่นตามเพื่อนบ้านก็ไม่มีเวลา
เช่าพระคลิ๊กที่นี่
เช่าพระที่นี่
เหรียญหลวงพ่อวัดศาลาลอยปี 2521
พอท่านอายุได้ ๑๘ ปี ได้กราบลาบุพการีเพื่อบรรพชาเป็นสามเณร แต่โยมบิดา-โยมมารดาของท่านไม่อนุญาต ครั้นมีอายุครบ ๒๑ ปีบริบูรณ์ ได้กราบลาบุพการีและญาติพี่น้องเพื่ออุปสมบท ครั้งนี้โยมบิดาไม่ขัดใจ แต่โยมมารดายังป่วยเป็นโรคปอดบวม อาการหนักอยู่มาก ซึ่งป่วยมาได้ ๓ ปีแล้ว ท่านจึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดสำโรงน้อย หมู่ ๖ ต.หนองห้าง อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ โดยมีพระครูเทวราชกวีวรญาณ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์ใบฎีกาชม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์พรหมมา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “สุภัทโท” ซึ่งแปลว่า “ผู้ประพฤติงาม”
หลังเข้าพิธีอุปสมบทเพียง ๒ สัปดาห์ โยมมารดาซึ่งล้มป่วยหนักได้เสียชีวิตลง ทำให้ท่านต้องช่วยเป็นธุระจัดการงานศพมารดาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนไปอยู่จำพรรษาวัดบ้านค้อ ต.กำแพง อ.อุทุมพรพิสัย ผ่านพ้นวันออกพรรษา บรรดาญาติพี่น้องได้มาเกลี้ยกล่อมให้ท่านลาสิกขาเพื่อมาเลี้ยงน้อง แต่ท่านเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตปุถุชน ตั้งใจอุทิศชีวิตให้บวรพระพุทธศาสนา แสวงหาทางหลุดพ้นทุกข์ ก่อนหน้านั้นท่านได้ไปปรึกษาหารือกับคุณปู่ของท่าน คุณปู่ให้ข้อคิดว่า ถ้าท่านจะสึกออกมาเลี้ยงน้องนั้นไม่ดี ช่วยเขาไม่ได้หรอก แสวงหาทางพ้นทุกข์ดีกว่า คงเป็นทางช่วยตัวเองได้ คุณปู่ท่านให้ข้อคิดดังนี้ ฟังแล้วมีเหตุมีผลดี ท่านจึงตัดสินใจปฏิบัติตาม
(ท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ)
ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดพงษ์พรต ต่อมาไม่นาน ก็ได้ดำริว่า คันถธุระไม่เป็นของพ้นทุกข์ มีแต่ธรรมปฏิบัติเท่านั้น จึงออกเดินทางไปศึกษาด้านสมถวิปัสสนากัมมัฏฐาน ทราบว่า ท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ จำพรรษาอยู่จังหวัดอุบลราชธานี จึงออกเดินทางไปพบท่าน ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาพื้นฐานงานวิปัสสนากัมมัฏฐานกับท่านอยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาจึงได้กลับมา อ.อุทุมพรพิสัย อีกครั้ง และพำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดสระกำแพงใหญ่
ขณะนั้นมีพระอุปัชฌาย์คำ จันทโชโต เป็นเจ้าอาวาสวัดสระกำแพงใหญ่ กำลังร่วมกันสร้างสาธารณูปโภคอยู่หลายอย่าง เป็นเหตุให้ญาติโยมได้โอกาสอาราธนานิมนต์ให้อยู่เป็นแรงงานสำคัญ เช่น มีการสร้างรอยพระพุทธบาทจำลอง วิหารลอย ที่ว่าการอำเภออุทุมพรพิสัย สถานีตำรวจ และสถานีอนามัย โดยมีนายพวง สีบุญลือ นายอำเภออุทุมพรพิสัย (ในขณะนั้น) เป็นแม่แรงใหญ่ฝ่ายฆราวาส จนกระทั่งที่ว่าการอำเภออุทุมพรพิสัย และสิ่งก่อสร้างดังกล่าวเสร็จสิ้นลง ทางอำเภอและประชาชนได้จัดงานฉลองขึ้นใหญ่โตโด่งดังไปทั่ว ส่วนท่านเองยังต้องการแสวงหาการปฏิบัติทางด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน ต้องการศึกษาในชั้นสูงสุดต่อไป พอเสร็จงานฉลองจึงบอกลาญาติโยม ออกเดินธุดงค์ไปจังหวัดลพบุรี ได้พักที่สำนักหลวงปู่คำมี พุทฺธสโร เพื่อศึกษาธรรมปฏิบัติ ได้สมาทานธุดงควัตร ถือพระกัมมัฏฐาน ทำสมาธิ ได้รับรสธรรมจากหลวงปู่คำมี เป็นที่ปลื้มอกปลื้มใจ ปีติเยือกเย็น และสงบใจลงไปมาก
หลังจากนั้นก็ได้ออกเดินธุดงค์ไปยังจังหวัดต่างๆ เมื่อไปถึงวัดป่าสระพง อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา สมาทานธุดงควัตรแล้วเดินทางไปยังถ้ำสบม่วง (ซับมืด) อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นถ้ำมีอากาศหนาวเย็น อยู่ในเขาและป่าทึบ พร้อมกับเพื่อนพรหมจรรย์อีก ๕ รูป ได้อยู่บำเพ็ญกัมมัฏฐานภายในถ้ำนั้นหลายเดือน จึงเกิดเป็นไข้ป่าทุกรูป รักษาไม่หายถึงกับมรณภาพลงในถ้ำนั้นไป ๓ รูป ต่อมาหลวงปู่เครื่อง กับเพื่อนอีกรูปแยกทางกันไป ท่านเองปีนเขาขึ้นมาตามเถาวัลย์ ไปพบฝรั่งที่ควบคุมงานก่อสร้างถนนมิตรภาพ อยู่ขณะนั้น ได้ยามา ๖ เม็ด กินก็หายป่วย จากนี้ได้เดินธุดงค์ ไปจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ไปแห่งใดก็มีญาติโยมพุทธบริษัทให้การต้อนรับอย่างคับคั่ง นำข้าวปลาอาหารมาทำบุญมากมาย แต่ท่านก็ไม่ติดที่อยู่ เดินทางต่อไปเรื่อยๆ
(หลวงพ่อเจ้าคุณ พระเทพมงคลมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) วัดปากน้ำภาษีเจริญ)
กระทั่งถึงปี พ.ศ.๒๔๙๔ เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปขอเรียนวิชาธรรมกายจากหลวงพ่อเจ้าคุณ พระเทพมงคลมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) วัดปากน้ำภาษีเจริญ ตั้งใจทำสมาธิประพฤติแนววิชาธรรมกายอยู่ ๓ วัน ก็อำลาจากไป หลวงพ่อสดถึงกับประกาศในหมู่ศิษย์ของท่านว่า หลวงปู่เครื่องได้บรรลุวิชาธรรมกายแล้วอำลาจากไป
จากนั้นท่านก็ตั้งใจปฏิบัติสมาธิกัมมัฏฐานตามป่า ถ้ำ ภูเขา อีกหลายแห่งด้วยความมุ่งมั่นมานะพยายามอย่างเต็มที่ ได้พบภาพนิมิตต่างๆ มากมาย เป็นงูบ้าง เป็นเสือบ้าง เป็นช้างบ้าง จะเข้ามาทำร้าย ซึ่งเป็นภาพนิมิตประหลาดๆ พิกลพิการไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ท่านไม่กลัวไม่หวาดหวั่น ควบคุมสติพิจารณา พยายามตีความด้วยปัญญา สามารถรู้ไปถึงอริยสัจธรรมแก่นแท้ได้ ตราบจนถึงเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๔ ท่านจึงเดินทางกลับมาตุภูมิบ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้ง และได้รับอาราธนาให้พำนักจำพรรษา ณ วัดสระกำแพงใหญ่ ภายหลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดสระกำแพงใหญ่ จึงได้พำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดเพื่อเป็นเสาหลักให้แก่พระภิกษุ สามเณร ตลอดจนประชาชนที่อยู่โดยรอบวัด
ด้วยเหตุที่หลวงปู่เครื่องเป็นพระนักปฏิบัติ เคยเป็นศิษย์หลวงพ่อสด จนฺทสโร วัดปากน้ำภาษีเจริญ มาก่อน ประกอบกับเคยธุดงค์ไปตามป่าเขาหลายแห่งในประเทศไทย เมื่อหลวงปู่เครื่องสร้างวัตถุมงคลออกมาแจกจ่ายบูชาให้แก่เหล่าพุทธศาสนิกชนทั่วไป ตลอดจนบรรดาคณะศิษยานุศิษย์ จึงมีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษ เป็นที่เชื่อถือเพื่อเสาะแสวงหามาครอบครอง
หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท ได้มรณภาพลงด้วยอาการอันสงบ ณ ตึกสงฆ์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) ชั้น ๓ ห้อง ๕ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี อ.เมือง จ.อุบลราชธานี เมื่อเวลา ๐๒.๑๕ น. ของวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๑ สิริอายุรวมได้ ๙๘ ปี ๑๓ วัน พรรษา ๗๘ ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจเป็นยิ่งนักของบรรดาคณะศิษยานุศิษย์ที่มาเฝ้าอาการป่วยอยู่จำนวนมาก หลังจากที่ท่านได้อาพาธด้วยโรคชรา มีอาการปอดอักเสบ น้ำท่วมปอด และต้องล้างไต จึงได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลศรีสะเกษ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๑ ต่อมาได้ย้ายหลวงปู่เครื่องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์อุบลราชธานี หลังวันวิสาขบูชา ๑ วัน จากนั้นก็ได้อยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดโดยตลอด เนื่องจากหลวงปู่เครื่องอายุมากถึง ๙๘ ปีแล้วและอาพาธหลายโรค จนกระทั่งได้มรณภาพในที่สุด รวมเวลาเข้ารักษาอาการอาพาธนานกว่า ๒ เดือน จนปัจจุบันสังขารของหลวงปู่เครื่อง เกิดปาฏิหาริย์สรีรสังขารไม่เน่าเปื่อย
โดยขณะที่พักรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล หลวงปู่เครื่องได้ฝากฝังกับบรรดาคณะศิษยานุศิษย์ ขอให้ช่วยกันสร้างพุทธวิหารหลวงพ่อนาคปรกใหญ่ที่สุดในโลก หน้าตักกว้าง ๒๙๙ นิ้ว ซึ่งคาดว่าต้องใช้เงินประมาณ ๕๐ ล้านบาท เพื่อให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมสำหรับพุทธศาสนิกชนชาวศรีสะเกษและชาวไทยทั่วประเทศ
(หลวงพ่อนาคปรกศิลา วัดสระกำแพงใหญ่ อายุกว่า ๑,๐๐๐ ปี)
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.baanmaha.com