- 18 มิ.ย. 2562
พระองค์ทรงมีความรักใคร่ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรามาก ไม่อยากจะพลัดพรากเหินห่างจากกันเลย แต่จะเป็นเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนับถือศาสนาคริสต์ด้วยกันเท่านั้น เพราะศาสนาคริสต์สอนว่า คริสต์ศาสนิกชนเมื่อสิ้นชีพแล้วจะได้ไปอยู่ใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้าชั่วนิรันดร
ครั้งหนึ่ง กษัตริย์โบดวงแห่งเบลเยียม ได้เสด็จฯ มาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมด้วยพระบรมราชินี และระหว่างที่ประทับอยู่ในพระนครในฐานะเป็นราชอาคันตุกะนั้นก็ได้ทรงชักนำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ให้เปลี่ยนศาสนาไปนับถือศาสนาคริสต์อย่างพระองค์อยู่หลายครั้ง
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสถามถึงเหตุผลที่ทรงชักชวน กษัตริย์โบดวงจึงกราบทูลว่า
พระองค์ทรงมีความรักใคร่ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรามาก ไม่อยากจะพลัดพรากเหินห่างจากกันเลย แต่จะเป็นเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนับถือศาสนาคริสต์ด้วยกันเท่านั้น เพราะศาสนาคริสต์สอนว่า คริสต์ศาสนิกชนเมื่อสิ้นชีพแล้วจะได้ไปอยู่ใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้าชั่วนิรันดร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ปฏิเสธคำทูลโดยตรง แต่ทรงมีพระราชดำรัสตอบว่า
พระพุทธศาสนาก็เชิดชูสัจจะ คือความจริง สอนให้ผู้นับถือเข้าถึงความจริง และสัจจะคือความจริงนั้นย่อมมีสภาพเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผู้ปฏิบัติถูกทางแล้วย่อมจะเข้าถึงได้
ดังนั้น ถ้าคำสอนแห่งศาสนาคริสต์เป็นสัจธรรมและพระผู้เป็นเจ้ามีจริง แม้พระองค์นับถือพระพุทธศาสนาก็คงจะเข้าถึงเป็นแน่ แม้ว่าจะมีผู้อื่นคั่นอยู่ระหว่างพระองค์กับพระผู้เป็นเจ้าก็คงจะมีคนเดียว คือองค์กษัตริย์ผู้ทรงชักชวนพระองค์เท่านั้น
พระราชดำรัสนี้เป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระราชอาคันตุกะมาก จนถึงสนพระราชหฤทัยที่จะทรงศึกษาคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดหาหนังสือพระพุทธศาสนาภาษาอังกฤษส่งไปถวายในโอกาสต่อมา
การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราได้ทรงโต้ตอบกษัตริย์โบดวงในลักษณะดังกล่าวข้างต้นนั้นแสดงให้เห็นถึง พระราชปฏิภาณเชิงขัน ของพระองค์ได้อย่างแจ่มชัดที่สุด ทั้งยังแสดงว่า ทรงเข้าพระราชหฤทัยในศาสนาทั้งสองคือพุทธและคริสต์อย่างลึกซึ้งถ่องแท้
ขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือพระราชอารมณ์ขัน โดย วิลาศ มณีวัต