ครั้งเมื่อ อาณาจักรโรมัน เงินหมด จึงต้อง เก็บภาษีปัสสาวะ

หากใครเป็นเซียนคำคม คงอาจจะเคยได้ยินคำว่า "Pecunia non olet" ซึ่งเป็นหนึ่งในคำคมสู้ชีวิตสุดโด่งดังมากในโลก โดยประโยคนี้แปลประมาณว่า "เงินไม่เหม็น" หรือ "เงินไม่เคยด่างพร้อย" ซึ่งตีความประมาณว่า ต่อให้คุณได้เงินมาอย่างไร สุดท้ายมันก็มีค่าเท่ากัน โดยคำคมประโยคนี้เป็นคำพูดติดปากของ เวสเพเซียน จักรพรรดิโรมันคนที่ 9 ซึ่งคำคมประโยคนี้ถือว่าเป็นคำคมที่มีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี อยู่ที่คนนำไปใช้ โดยคำพูดนี้เมื่อเป็นคำพูดติดปากของ จักรพรรดิโรมัน ทำให้เป็นเรื่องเดือดร้อนของประชาชนพอสมควร เมื่อ เวสเพเซียน เขามักพูดคำคมนี้ติดปาก และคิดแบบนั้น โดยการเก็บภาษีทุกอย่างเท่าที่จะเก็บได้ ถึงขั้นที่ว่าจะเก็บภาษีปัสสาวะซะเลย

หากใครเป็นเซียนคำคม คงอาจจะเคยได้ยินคำว่า "Pecunia non olet" ซึ่งเป็นหนึ่งในคำคมสู้ชีวิตสุดโด่งดังมากในโลก โดยประโยคนี้แปลประมาณว่า "เงินไม่เหม็น" หรือ "เงินไม่เคยด่างพร้อย" ซึ่งตีความประมาณว่า ต่อให้คุณได้เงินมาอย่างไร สุดท้ายมันก็มีค่าเท่ากัน โดยคำคมประโยคนี้เป็นคำพูดติดปากของ เวสเพเซียน จักรพรรดิโรมันคนที่ 9 

ซึ่งคำคมประโยคนี้ถือว่าเป็นคำคมที่มีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี อยู่ที่คนนำไปใช้ โดยคำพูดนี้เมื่อเป็นคำพูดติดปากของ จักรพรรดิโรมัน ทำให้เป็นเรื่องเดือดร้อนของประชาชนพอสมควร เมื่อ เวสเพเซียน เขามักพูดคำคมนี้ติดปาก และคิดแบบนั้น โดยการเก็บภาษีทุกอย่างเท่าที่จะเก็บได้ ถึงขั้นที่ว่าจะเก็บภาษีปัสสาวะซะเลย

 

ครั้งเมื่อ อาณาจักรโรมัน เงินหมด จึงต้อง เก็บภาษีปัสสาวะ

 

โดย เวสเพเซียน ได้ปกครองโรมันในช่วง ค.ศ. 68-69 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ โรมัน กำลังทำสงครามกลางเมืองอย่างดุเดือด ซึ่งในขณะที่ เวสเพเซียน ขึ้นครองราชย์ กลายเป็นว่า โรมัน กำลังประสบปัญหาอย่างหนักเรื่องการเงิน

 

ครั้งเมื่อ อาณาจักรโรมัน เงินหมด จึงต้อง เก็บภาษีปัสสาวะ

 

ซึ่งทำให้ผู้นำต้องหาทางแก้ปัญหาให้ได้โดยไวที่สุด เวสเพเซียน โชคดีที่เป็นบุตรชายของคนเก็บภาษีอาณาจักร จึงทำให้มีแนวคิดการหาเงินด้วยวิธีที่ตัวเองเรียนมาจากพ่อ ก็คือการเก็บภาษีเข้าคลัง โดยสิ่งแรกที่ทำคือการขึ้นภาษีในอาณาจักรโรมัน พร้อมกับตั้งการเก็บภาษีใหม่ๆเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่ที่ทำให้การเมืองการปกครองทั้งโลกตกใจก็คือ "ภาษีปัสสาวะ"

 

ครั้งเมื่อ อาณาจักรโรมัน เงินหมด จึงต้อง เก็บภาษีปัสสาวะ

 

เชื่อว่าหลายคนคงสงสัยว่า จะเก็บภาษีปัสสาวะได้อย่างไร แต่หากย้อนกลับไปในยุคโรมันโบราณ ประชาชนทั้งโลก ยังนำปัสสาวะ มาใช้ประโยชน์เป็นจำนวนมาก

โดยส่วนใหญ่แล้วคนมักจะนำปัสสาวะของคน มาใส่ขวดแล้วหมักไว้ 24 ชม. โดยสารยูเรียในปัสสาวะ จะเปลี่ยนเป็นแอมโมเนีย และคนส่วนใหญ่ในยุคนั้นจะเอา แอมโมเนียจากปัสสาวะ มาซักผ้า และแปรงฟัน แถมยังสามารถนำไปฟอกสีขนสัตว์ได้อีกด้วย

ปัสสาวะ จึงถือว่าเป็นของมีประโยชน์เป็นอย่างมาก ดังนั้นห้องน้ำของคนโรมันสมัยนั้น ส่วนใหญ่เป็นห้องน้ำสาธารณะ เวลาที่คนปัสสาวะเสร็จ จะถูกไหลไปรวมกันในที่เดียวคือที่รัฐจัดเตรียมไว้ 

และก็จะมีเหล่าพ่อค้า คนทำเครื่องนุ่งห่มต่างๆ รวมถึงชาวบ้านบางส่วน มักจะมาขอซื้อปัสสาวะเป็นจำนวนมาก รัฐจึงจัดเก็บภาษีจากตรงนี้นี่เอง

 

ครั้งเมื่อ อาณาจักรโรมัน เงินหมด จึงต้อง เก็บภาษีปัสสาวะ