- 05 ธ.ค. 2559
ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th
ยังถือเป็นนักการเมืองที่เคลื่อนไหววิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลคสช.อย่างต่อเนื่องในทุกจังหวะโอกาส ล่าสุด นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊ก "Watana Muangsook" มีรายละเอียดบางช่วงบางตอนระบุว่า "คอลัมน์นิสต์ของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเปิดใจเล่าถึงความผิดพลาด ที่เคยร่วมกับกลุ่มการเมืองข้างถนนปิดบ้านปิดเมืองจนเกิดการรัฐประหาร ทำให้ตัวเองตกงานเพราะหนังสือพิมพ์ที่ทำงานอยู่ต้องปิดตัวลง ผลพวงของรัฐประหารทำให้เศรษฐกิจได้รับความเสียหายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
การบริหารที่ขาดสติปัญญาทำให้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจทุกตัวดับสนิท ท้ายสุดต้องใช้การแจกเงินอันเป็นมาตรการสิ้นคิดในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็ยังไร้ความสามารถแจกเงินไม่ได้ตามกำหนด ดังนั้น จะมีธุรกิจอีกเป็นจำนวนมากที่ต้องปิดกิจการเพิ่มทำให้คนตกงานจำนวนมหาศาล แต่ที่น่ากลัวคือกลุ่มคนที่ยึดอำนาจและบริหารบ้านเมืองจนเสียหายยับเยินอยู่ในขณะนี้ คือผู้ที่วางยุทธศาสตร์ชาติให้คนไทยต้องเดินตามไปอีก 20 ปี โดยมีรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติด้วยวิธีปิดหูปิดตาประชาชนเป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจผ่าน ส.ว. สรรหาและองค์กรอิสระทั้งหลาย...”
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านั้นไม่นาน เวิลด์อีโคโนมิกฟอรั่ม (WEF) ได้เปิดเผยรายงานการอำนวยความสะดวกทางการค้าทั่วโลกปีล่าสุด ว่า ประเทศไทยขยับอันดับเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 63 จากเดิมที่ 72 ในรายงานเมื่อ 2 ปีก่อน หรือเพิ่มขึ้น 9 อันดับ ในรายงาน 136 ประเทศทั่วโลก ซึ่งจัดทำขึ้นทุกๆ 2 ปี
ทั้งนี้ ในบรรดาเสาหลักชี้วัดทั้งหมด 7 ด้าน ไทยสามารถพัฒนาปรับปรุงดีขึ้นใน 4 ด้านด้วยกัน ได้แก่ การเข้าถึงตลาดในประเทศ การจัดการความโปร่งใสและประสิทธิภาพชายแดน ปริมาณและการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอซีที) รวมถึงปริมาณและคุณภาพของโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง ซึ่งเป็นด้านที่ไทยได้คะแนนดีที่สุด
ทางด้าน น.ส.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้า เปิดเผยว่า หอการค้าไทยได้ลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของปี พ.ศ. 2559 จากเดิม 33 เหลือ 32 โดยคาดการณ์ว่าการส่งออกจะติดลบ 0.4% แต่คาดว่าในปี พ.ศ. 2560 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพิ่มเป็น 36% และการส่งออกเกี่ยวกับขยายตัวได้ 1.4% มีมูลค่า 2.14 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ เกินดุล ทั้งดุลการค้าและดุลบัญชีเงินสะพัดในขณะที่อัตราเงินเฟ้อขยายตัวที่ 1.6% หรือเท่ากับคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะโตขึ้นในปี พ.ศ. 2560 โดยมีสมมติฐานมาจากเศรษฐกิจโลกขยายตัว 3.4 ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวเพียง 2.2 % ยุโรป 1.5 % ญี่ปุ่น 0.5 % และเศรษฐกิจจีน ยังขยายตัวสูงสุดที่ 6.2 %
เรียบเรียงข่าว : ชัชรินทร์ สำนักข่าวทีนิวส์