- 09 เม.ย. 2562
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้โพสต์เฟสบุ๊คแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ในหัวข้อ “ไทยต้องเด็ดขาดกรณีนักการทูตแทรกแซงกิจการภายในประเทศ”
สืบเนื่องจากกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ รับทราบข้อกล่าวหาตามความผิดมาตรา 116 ยุยงปลุกปั่นเป็นภัยกับความมั่นคงของประเทศ และมาตรา 189 ให้ที่พักพิงผู้ต้องหา จากพฤติการณ์เมื่อปี 2558 โดยมีตัวแทนจากสถานทูต กว่า 10 ประเทศ อาทิเยอรมัน ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา รวมทั้งเจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติ หรือ UN มาสังเกตการณ์ที่สถานีตำรวจนครบาลปทุมวันด้วย รวมทั้งผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ เดินทางมาให้กำลังใจนายธนาธร จากที่สังเกตพบว่ามีทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่ และกลุ่มผู้สูงอายุ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มาพร้อมแผ่นป้ายข้อความเซฟธนาธรและข้อความให้กำลังใจ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ตำรวจส่งธนาธรขึ้นศาลทหาร โดนแจ้งข้อหาเพิ่ม! เจ้าตัวยอมรับอยู่ในพื้นที่จริง
ขณะเดียวกันทางด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้โพสต์เฟสบุ๊คแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ในหัวข้อ “ไทยต้องเด็ดขาดกรณีนักการทูตแทรกแซงกิจการภายในประเทศ”
กรณีที่มีคณะทูตจากประเทศตะวันตกหลายประเทศส่งผู้แทนเข้าร่วมฟังการสอบสวนนายธนาธรต่อกรณีการกระทำความผิดอาญาตามกฎหมายอาญาของไทยถึงห้องสืบสวนสอบสวนนั้นเป็นการกระทำที่ไม่อาจรับได้เลยในฐานะประเทศเอกราช การกระทำของตัวแทนสำนักงานสถานทูตต่างประเทศเหล่านี้เป็นการกระทำที่ผิดวิสัยและผิดประเพณีทางการทูตอย่างร้ายแรง เพราะการกระทำความผิดที่นายธนาธรถูกล่าวหานั้น
1) เป็นการกระทำความผิดต่อกฎหมายอาญาของประเทศไทย
2) เป็นความผิดที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเป็นกิจการภายในของไทยอย่างแท้จริง
โดยหลักการที่ได้รับการรับรองจากสหประชาชาติและจรรยามารยาททางการทูตจะไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นโดยเด็ดขาด
การที่บรรดาคณะทูตหรือชาวต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้องหรือยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมภายในประเทศเช่นนี้ จึงถือได้ว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยและเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอันเป็นกิจการภายในประเทศของไทยอย่างรุนแรงที่สุด ซึ่งบรรดานักการทูตเหล่านั้นย่อมตระหนักและทราบดีทั้งในฐานะนักการทูตมืออาชีพและโดยจรรยามารยาททางการเมืองระหว่างประเทศ ดังนั้น จึงเห็นว่ากระทรวงการต่างประเทศของไทยต้องตอบโต้การกระทำอันไม่สมควรและไม่เหมาะสมของบรรดานักการทูตเหล่านั้นอย่างรุนแรงกับการกระทำมากกว่าการเรียกมาชี้แจง เพราะครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่กลุ่มคนต่างชาติที่มีตำแหน่งทางการทูตเหล่านี้เข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของเรา
หลายครั้งแล้วที่นักการทูตกลุ่มนี้ไปปรากฎตัวเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับกลุ่มการเมืองกลุ่มนี้ ภาพมีปรากฎทั่วไป แต่ครั้งนี้เหิมเกริมถึงขนาดไปนั่งฟังการสอบสวน นับเป็นการกระทำที่รับไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
รัฐบาลไทยจึงพึงต้องทำการสอบสวนให้ได้ความถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของการกระทำของบรรดาคณะทูตดังกล่าวว่าเหตุใดนักการทูตเหล่านั้นจึงกล้ากระทำการที่ผิดจารีตประเพณีและมรรยาททางการทูตที่ร้ายแรงเช่นนั้น ว่ามีใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหรือไม่ รวบรวมพฤติกรรมที่สะสมมาในการเข้ามาจุ้นจ้านกิจการภายในอย่างไร้ยางอายมีกรณีไหนบ้าง และประท้วงกลับไปยังผู้นำประเทศนั้นโดยทันที
อีกด้านหนึ่งก็ต้องดำเนินการกับพวก “ชักศึกเข้าบ้าน”ที่เพียงกรณีนี้แต่อย่างเดียวก็ส่อให้เห็นวิธีคิดแล้วว่าให้น้ำหนักกับผลประโยชน์ชาติกับผลประโยชน์ตัวเช่นไร
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ศรีวราห์ชี้ธนาธร ยื่นขอศาลทหารโอนคดีมาศาลพลเรือนได้ เหมือนคดีเสือดำ