- 15 พ.ค. 2563
จากจุดเริ่มต้นด้วยการที่คณะก้าวหน้า ส่งทีมงานออกป่วนเมืองยิงเลเซอร์ข้อความต่างๆ ตามสถานที่ราชการและสถานที่สาธารณะ ด้วยเจตนาเพื่อปลุกกระแสโจมตีรัฐบาลพล.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และการเดินหน้ารุกโจมตีทหารอีกครั้ง แต่กลับกลายเป็นว่าการเรียกร้องตามหาความจริง เหตุการณ์ความรุนแรงที่มีการนำชายชุดดำมาร่วมปฏิบัติการในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ทำให้สังคมไทยร่วมกันค้นหาหลักฐาน ซึ่งเป็นต้นเหตุที่แท้จริงของการเผาบ้านเผาเมืองในหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของแกนนำนปช. ภายใต้คำสั่งการจากนักโทษหนีคดีอาญา ที่พยายามทุกรูปแบบให้ตัวเองได้กลับประเทศไทย โดยปราศจากข้อหาความผิด
จากจุดเริ่มต้นด้วยการที่คณะก้าวหน้า ส่งทีมงานออกป่วนเมืองยิงเลเซอร์ข้อความต่างๆ ตามสถานที่ราชการและสถานที่สาธารณะ ด้วยเจตนาเพื่อปลุกกระแสโจมตีรัฐบาลพล.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และการเดินหน้ารุกโจมตีทหารอีกครั้ง แต่กลับกลายเป็นว่าการเรียกร้องตามหาความจริง เหตุการณ์ความรุนแรงที่มีการนำชายชุดดำมาร่วมปฏิบัติการในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ทำให้สังคมไทยร่วมกันค้นหาหลักฐาน ซึ่งเป็นต้นเหตุที่แท้จริงของการเผาบ้านเผาเมืองในหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของแกนนำนปช. ภายใต้คำสั่งการจากนักโทษหนีคดีอาญา ที่พยายามทุกรูปแบบให้ตัวเองได้กลับประเทศไทย โดยปราศจากข้อหาความผิด
(คลิกอ่านข่าวประกอบ : คณะก้าวหน้าเย้ยหยันสุดๆ เดินเกมส์คู่ขนาน ช่อ พรรณิการ์ เดินหน้าปลุกกระแส ฝังรากลึกต้านทหาร )
ล่าสุด นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้โพสต์ถึงประเด็นร้อนแรงทางสังคม ดังกล่าวว่า "เห็นคนกลุ่มหนึ่งออกมายิงเลเซอร์ไปตามอาคาร และสถานที่ต่างๆในกรุงเทพฯ หลายแห่ง เมือคืนวันที่ 10 พฤษภาคม ที่ผ่านมา นัยว่าเป็นการค้นหาความจริง ในโอกาสครบรอบเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง เมื่อ เดือนพฤษภาคม ปี 2553
ความจริง ผมก็ไม่อยากพูดอะไรมากระยะนี้ ที่เรากำลังเผชิญสถานการณ์สำคัญของบ้านเมือง ในการต่อสู้เพื่อนำพาบ้านเมือง และผู้คนในสังคมให้รอดพ้น ปลอดภัย จากโรคระบาดไวรัสโควิด-19 และผลกระทบด้านต่างๆ. ซึ่งต้องการความรัก สมัครสมาน สามัคคีอย่างยิ่ง ของผู้คนในประเทศ. แต่ก็ปรากฏว่า ยังมีบุคคล และคณะบุคคล บางกลุ่ม ไม่รู้จักกาลประมาณ หนักเบาของเรื่อง ออกมาจุดไฟ สร้างประเด็นปัญหาความขัดแย้งบ้านเมืองไม่รู้จบอยู่อีก ดังกล่าว
ทั้งไม่อยากวิวาทะด้วยว่า
1. จะมาค้นหาความจริง ความเท็จอะไรกัน ระหว่างนี้ มันถูกกาละ เทศะ หรือไม่
2. ทำไม คนกลุ่มนี้ จึงมุ่งหาความจริงด้านเดียว เพื่อแก้ต่างให้กับกลุ่ม คณะของตัวเองเท่านั้น แต่ไม่สนใจความจริงในเหตุการณ์อื่นๆ ที่เกิดในช่วงเดียวกัน คล้ายกัน เช่น ใครอยู่เบื้องหลังการขัดขวาง ไปถึงการลอบทำร้าย จนมีผู้คนบาดเจ็บ ล้มตายเป็นจำนวนมาก. ระหว่างการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย. เมื่อปี 2548-2549 หรือการชุมนุมของกลุ่ม กปปส . ในช่วงปลายปี 2556 -ต้นปี 2557 หรือแม้แต่เหตุการณ์ที่มีการโกงกิน คอรัปชั่น ในรัฐบาลก่อนหน้านี้ ที่ทำให้บ้านเมืองเสียหายยับเยิน จนคนแทบทั้งประเทศต้องออกมาชุมนุมขับไล่ กันเป็นเดือน ๆ ฯลฯ ไม่เห็นคนกลุ่มนี้ไปค้นหาความจริงเหล่านั้น มาเล่าให้ฟังบ้าง
(คลิกอ่านข่าวประกอบ : จตุพรเปิดเองคำพิพากษา เหตุฏีกากลับยุนปช.เผา เผยโดนชดใช้ 30 ล้าน )
เอาล่ะครับ ข้ามประเด็นพวกนั้นไปดีกว่า
ทีนี้ เมื่อปี 2553 ขณะนั้น ผมเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ จึงเป็นเลขานุการ คณะกรรมการอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. โดยตำแหน่ง ผมอยู่ในเหตุการณ์โดยตลอด ตั้งแต่เริ่มมีการชุมนุมของกลุ่ม นปช. เมื่อ วันที่ 12 เดือนมีนาคม 2553 จนสิ้นสุดการชุมนุม เมื่อวันที่ 18 เดือนพฤษภาคม 2553 มีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นมากมายระหว่างนั้น เมื่อท่านอยากตามหาความจริง ผมก็อยากแนะนำท่านว่า ให้ท่านไปหาอ่าน “รายงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)” ซึ่งถือว่าเป็นกลาง และเป็นอิสระ ท่านก็จะได้ทราบความจริง จะได้ไม่ต้องไปเที่ยวยิงเลเซอร์ ตามตึก อาคาร สี่แยกถนนหนทางต่างๆ เพื่อตามหาความจริง และกล่าวหาฝ่ายต่างๆให้วุ่นวายอีก
เหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม. นปช. ครั้งนั้นมีเหตุการณ์เล็กๆ มากมายหลายเหตุการณ์ ประกอบเข้าเป็นเหตุการณ์ใหญ่ บอกกล่าวกันสั้นๆไม่หมดไม่สิ้น แต่ถ้าท่านอยากทราบ ผมก็พอสรุปให้ท่านทราบบางเรื่อง ได้ เช่น
1. การชุมนุมครั้งนั้น เป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ผมไม่ได้พูดเองหรือใครพูด แต่เป็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยศาลชี้ทุกครั้งที่มีผู้ไปร้องว่า เป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ และไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และเมื่อรัฐร้องขอให้ศาลสั่งการให้ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุม. ศาลยังชี้ว่า เนื่องจากเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบ. รัฐจึงสามารถสลายการชุมนุมได้ โดยปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอนและวิธีการตาม กฎหมาย ไม่จำเป็นต้องมาขอให้ศาลสั่งอีก
2. การชุมนุมครั้งนั้น มีการปรากฏตัวของชายชุดดำ ซึ่งหมายถึงผู้ที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม ครอบครองและมีการใช้อาวุธสงครามร้ายแรง ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่จริง โดยในการปฏิบัติการ คนเหล่านั้นมักพลางใบหน้าและร่างกายด้วยเสื้อผ้าสีดำ ชายชุดดำปรากฎตัวในหลายสถานที่ และในหลายเหตุการณ์ ที่สำคัญ คือการปรากฏตัวที่สีแยกคอกวัวเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 และใช้อาวุธสงครามทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายนาย รวมทั้งพันเอกร่มเกล้า ธุวธรรม ยศในขณะนั้น
3. ไม่มีการสลายการชุมนุมครั้งนั้นแต่อย่างใด การปฏิบัติของเจ้าหน้าทีมีเพียงการขอคืนพื้นที่เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เมื่อผู้ชุมนุมได้ใช้พื้นที่บนถนนสำคัญหลายเส้นทาง ติดต่อกัน จนรบกวนการสัญจรเดินทางของประชาชนจนเกินควร แต่กลับถูกต่อต้านอย่างหนักจากผู้ชุมนุม จนนำไปสู่การสูญเสียทั้งผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ ไม่ได้เป็นการบุกเข้าไปของเจ้าหน้าที่เพื่อสลายการชุมนุมแต่อย่างใด
ทั้งนี้ แม้แต่วันที่ กลุ่ม นปช.ยุติการชุมนุมเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2553 ก็เป็นการยุติการชุมนุมเอง หลังจากที่เจ้าหน้าที่กระชับวงล้อมการชุมนุมที่แยกราชประสงค์อยู่หลายวัน เพื่อให้ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมไปเอง แต่ยังปรากฏการยิงก่อกวน และทำร้ายเจ้าหน้าที่ ตามจุดต่างๆ ที่ตั้งปิดการชุมนุมอยู่เสมอ โดยเฉพาะจากบริเวณสวนลุมพินี ในวันดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงบีบวงล้อมเข้าไปทางด้านถนนราชดำริ ระหว่างโรงพยาบาลจุฬา ฯกับสวนลุมพินี เพื่อกดดันไม่ให้มีการชุมนุมบริเวณนั้น และทำร้ายเจ้าหน้าที่อีก และได้ยุติการกระชับพื้นที่อยู่แค่นั้น ไม่ได้มีการบุกเข้าไปสลายการชุมนุมอย่างที่บางฝ่ายกล่าวหาแต่อย่างใด
ยังคงมีข้อเท็จจริงอื่นๆอีกมากในเหตุการณ์ครั้งนั้น เช่น มีการเผาบ้านเผาเมืองหรือไม่ มีการปลุกปั่นยุยงให้มีการใช้ความรุนแรงหรือไม่ และจากใครบ้าง การเสียชีวิตของผู้อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น เกิดจากอะไร และไม่แต่ผู้ชุมนุม แต่เจ้าหน้าที่ก็เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก เพราะอะไร ผมคงเล่าเหตุการณ์ย่อยๆพวกนี้ไม่หมด แต่หากใครอยากทราบความจริงเหล่านี้ ท่านก็ไปหาอ่านจากรายงานของ คอป. ตามที่ผมได้บอกไว้ ก็ได้ครับ