- 26 มิ.ย. 2563
ยังคงเป็นกระแสสังคม สืบเนื่องจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักวิชาการ และนักศึกษาที่ทำกิจกรรมร่วมกับแกนนำคณะก้าวหน้า หรือ พรรคอนาคตใหม่ในอดีต ต่อการออกมาเรียกร้องทวงคืนประชาธิปไตย โดยย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในช่วงปี 2475 ท่ามกลางมุมมองของผู้เห็นต่าง พร้อมการหยิบยกข้อเท็จจริงบางด้านมานำเสนอให้ช่วยกันฉุกคิด เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองบางฝักบางฝ่ายที่มีเป้าหมายไปไกลกว่าการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นระบอบประชาธิปไตยอย่างที่กล่าวอ้าง
ยังคงเป็นกระแสสังคม สืบเนื่องจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักวิชาการ และนักศึกษาที่ทำกิจกรรมร่วมกับแกนนำคณะก้าวหน้า หรือ พรรคอนาคตใหม่ในอดีต ต่อการออกมาเรียกร้องทวงคืนประชาธิปไตย โดยย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในช่วงปี 2475 ท่ามกลางมุมมองของผู้เห็นต่าง พร้อมการหยิบยกข้อเท็จจริงบางด้านมานำเสนอให้ช่วยกันฉุกคิด เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองบางฝักบางฝ่ายที่มีเป้าหมายไปไกลกว่าการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นระบอบประชาธิปไตยอย่างที่กล่าวอ้าง
(คลิกอ่านข่าวประกอบ : อดีตรองผอ.ข่าวกรองฯสวนปาก ธนาธร ชื่นชมอีเวนท์ 2475 เปลี่ยนสังคมเจ้า - ไพร่ ห่วงเด็กรุ่นใหม่ถูกหลอก)
ล่าสุด นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์และนักเทววิทยา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก มีใจความสำคัญว่าด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ดังนี้ "สาระเลวตั้งแต่เด็กไม่รู้รับผิดชอบทางวิชาการ"
"ใครสั่งใครสอนเด็กพวกนี้ ให้อ่านคำประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 ออกประจานอดีต เพราะคณะราษฎรและอาจารย์ปรีดีไปขอพระราชทานขมาจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในถ้อยคำเหล่านี้แล้ว และก็ได้มีการนิรโทษกรรมเสร็จสิ้นไปแล้วตั้งแต่ 2475
ครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนคนเหล่านี้ย่อมรู้ดีเพราะเป็นข้อมูลประวัติศาสตร์พื้นๆไม่ต้องไปค้นคว้าอะไรมาก แต่การจับใส่มือเด็กหรือล้างสมองให้เด็กเชื่อข้อมูลด้านเดียวมันเป็นสิ่งที่ฆ่ากันทางวิชาการ
เด็กพวกนี้ถูกปลูกฝังให้เป็นคนสาระเลวตั้งแต่เด็ก คนเสี้ยมก็เป็นคนจัญไรต่อแผ่นดินโดยสมบูรณ์
ทั้งนี้เมื่อวันที่24มิ.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย หรือ Democracy Restoration Group (DRG) จัดกิจกรรม"ลบยังไง ก็ไม่ลืม" ซึ่งเป็นกิจกรรมย้อนเวลากลับไปสู่ช่วงเวลาประวัติศาสตร์ ในโอกาสครบรอบ 88 ปี วันอภิวัตน์สยาม โดยมีการอ่านประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ด้วย
ทั้งนี้ก่อนหน้า นายเทพมนตรี ได้โพสต์ข้อมูลว่าด้วย "พระบรมราชโองการ พระราชกำหนดนิรโทษกรรม ในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พุทธศักราช 2475"
แสดงใจความสำคัญดังนั้ "อ่านความจริง! ความสำนึกสำเหนียกของนักวิชาการที่ใช้คณะราษฎรมาสนองตัณหาร่านราคะโทสะจริตของตนเองในปัจจุบันและกระแทกแดกดันกระทบต่อสถาบันสูงสุด ถ้าแม้อ่านกฎหมายเป็นและเข้าใจคุณค่าความหมายที่ทรงพระกรุณาลงพระปรมาภิไธยในพระราชกำหนดนิรโทษกรรมในคราวการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พุทธศักราช ๒๔๗๕ ก็จะเห็นได้อย่างชัดแจ้งในหลายประเด็น
นักวิชาการที่คลั่งไคล้ความเป็นคณะราษฎรต่างให้ข้อมูลที่มองข้ามความเป็นจริงหลายเรื่องและหลายมิติต่อน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ที่ทรงปรารถนาดีและยังแสดงถึงซึ่งพระราชไมตรีจริง ที่ไม่ทรงถือโทษโกรธเคืองต่อการกระทำของคณะราษฏร (เว้นไว้แต่ภายหลังเมื่อกลุ่มคนในคณะนี้ออกลายจนถึงกับต้องทรงสละราชสมบัติ) โดยเฉพาะเรื่องการจับพระบรมวงศานุวงศ์ไปควบคุมไว้ในพระที่นั่งอนันตสมาคม ซึ่งมีคำประกาศประกอบถ้อยคำที่ออกมาใน
วันกระทำการปฏิวัติตามที่พวกเราทราบกัน มีนักวิชาการสักกี่คนในประเทศนี้ที่จะเห็นน้ำพระทัยอันกว้างขวางดุจดั่งมหาสมุทรของพระองค์ท่าน อยากให้ทุกคนอ่าน อ่านเอกสารจริงๆไม่ใช่แค่อ่านบทความหรือถ้อยคำด่าทอเพียงอย่างเดียว
ตราพระบรมราชโองการ
พระราชกำหนดนิรโทษกรรม
ในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน
พุทธศักราช ๒๔๗๕
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศจงทราบทั่วกันว่า
การที่คณะราษฎรคณะหนึ่งซึ่งมีความปรารถนาอันแรงกล้าในอันที่จะแก้ไขขจัดความเสื่อมโทรมบางประการของรัฐบาลสยามและชาติไทยให้หายไป แล้วจะพากันจรรโลงสยามรัฐและชาติไทยให้เจริญรุ่งเรืองวัฒนาถาวรมั่นคงเท่าเทียมกับชาติและประเทศอื่นต่อไป จึ่งพากันยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินไว้ ด้วยความมุ่งหมายจะให้มีธรรมนูญการปกครองแผ่นดินขึ้นเป็นข้อใหญ่ แล้วร้องขอไปยังเราเพื่อให้เราคงดำรงเป็นกษัตริย์แห่งสยามรัฐต่อไปภายใต้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินนั้น ทั้งนี้ แม้ว่าการจะได้เป็นไปโดยขัดกับความพอพระทัยพระบรมวงศานุวงศ์บางพระองค์ และขัดใจสมาชิกในรัฐบาลเดิมบางคนก็ดี ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องเป็นไปเช่นนั้นในทุกประเทศ ไม่ว่าจะเจริญรุ่งเรืองแล้วเท่าไร ๆ ก็ไม่อาจจะก้าวล่วงการนี้เสียได้ ถึงกระนั้น ก็เพิ่งปรากฏเป็นประวัติการณ์ครั้งแรกของโลกที่การได้เป็นไปโดยราบรื่นปกติมิได้รุนแรง
และแม้ว่าจะได้อัญเชิญพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการบางคนมาประทับและไว้ในพระที่นั่งอนันตสมาคม ก็เพียงเพื่อประกันภัยของคณะ และเพื่อให้การดำเนิรลุล่วงไปได้เท่านั้น หาได้กระทำการประทุษฐร้ายหรือหยาบหยามอย่างใด ๆ และไม่มุ่งหมายจะกระทำเช่นนั้นด้วย ได้แต่บำรุงรับไว้ด้วยดีสมควรแก่พระเกียรติยศทุกประการ
อันที่จริง การปกครองด้วยวิธีมีพระธรรมนูญการปกครองนี้ เราก็ได้ดำริอยู่ก่อนแล้ว ที่ราษฎรคณะนี้กระทำมาเป็นการถูกต้องตามนิยมของเราอยู่ด้วย และด้วยเจตนาดีต่อประเทศชาติอาณาประชาชนแท้ ๆ จะหาการกระทำหรือแต่เพียงเจตนาชั่วร้ายแม้แต่น้อยก็มิได้
เหตุนี้ จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดนี้ไว้ดั่งต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชกำหนดนี้ให้เรียกว่า "พระราชกำหนดนิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พุทธศักราช ๒๔๗๕"
มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชกำหนดนี้ตั้งแต่ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระบรมนามาภิธัยเป็นต้นไป
มาตรา ๓ บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นเหล่านั้น ไม่ว่าของบุคคลใด ๆ ในคณะราษฎรนี้ หากว่าจะเป็นการละเมิดบทกฎหมายใด ๆ ก็ดี ห้ามมิให้ถือว่า เป็นการละเมิดกฎหมายเลย
ประกาศมา ณ วันที่ ๒๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๕
ประชาธิปก ป.ร.