- 15 ส.ค. 2563
อ.อัษฏางค์ แทงใจดำม็อบปลดอก ยื่น 10 ข้อกดดันสถาบันฯ เป้าหมาย“สานต่อภารกิจคณะราษฎร์” ด้วยการยึดทรัพย์ จำกัดพระราชอำนาจ
ถือเป็นข้อถกเถียงที่มีน้ำหนักในเชิงความคิด สำหรับบทความของ อ.แก้วสรร อติโพธิ เรื่อง "ธรรมศาสตร์..ไม่ต้องทน" ที่เน้นย้ำความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ ภายหลังจากกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ใช้เวทีการชุมนุมทางการเมือง ยื่นข้อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ และ เปลี่ยนแปลงข้อกฎหมายที่เกี่ยวเนื่องกับสถาบันพระมหาษัตริย์ในหลายประเด็น
(คลิกอ่านข่าวประกอบ : อ.แก้วสรร ยกสถาบันกษัติย์ เป็นต้นทุนแผ่นดิน เตือนม็อบปากมัน อย่าใช้เสรีภาพพล่อยๆ )
ล่าสุด นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ได้แสดงความเห็นต่อประเด็นข้อเรียกร้องของกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ มีใจความสำคัญ ว่า “สานต่อภารกิจคณะราษฎร์” ด้วยการยึดทรัพย์ จำกัดพระราชอำนาจ
ข้อเรียกร้องที่ห้ามพูด ยุบองคมนตรี แยกทรัพย์สินพร้อมกล่าวหาว่าผลาญเงินภาษี คือกระบวนการยึดทรัพย์ จำกัดพระราชอำนาจ ของคณะราษฎร์ที่ก้าวหน้าจาก 2475 มาสู่ 2563 จาก 2475 ที่ทรัพย์สินในส่วนของ "พระคลังข้างที่” ที่รัฐบาลคณะราษฏร์ยึดไป แล้วสร้างภาษากฎหมาย ให้เป็นคำว่า "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" นั้นความจริงเป็นทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่โบราณแล้ว
แต่รัฐบาลคณะราษฏร์สร้างภาษากฎหมายขึ้นมาใหม่ ที่ฟังเหมือนว่าเป็นทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ แต่ความจริงคือทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ที่ยึดมาเป็นเงินแผ่นดิน พูดง่ายๆ คือเป็นทรัพย์สินของในหลวง แต่คณะราษฏร์ยึดมาเป็นเงินของรัฐบาล และรัฐบาลเป็นคนใช้ผลประโยชน์จากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น
แล้วในปลายรัชสมัยของในหลวงรัชกาล 9 ก็มีนักการเมืองลี่ภัย เอาเรื่องทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไปเป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยให้ข่าวโจมตีในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไปทั่วโลกว่า พระมหากษัตริย์ไทยมีทรัพย์สินมากที่สุดในโลก ทั้งๆ ที่เมืองไทยมีแต่คนยากจน เพื่อให้เห็นภาพว่าในหลวงทำงานบนหลังคน
แล้วต่อมานักการเมืองของคนหนุ่มสาวกรุ่นใหม่ที่สร้างพรรคขึ้นมาใหม่ก็เอาต่อยอดเป็นเครื่องมือทางการเมืองอันใหม่ ด้วยการปล่อยข่าวหลอกเด็กน้อยและเด็กเหลือน้อยว่า...
คนไทยยากจนแต่ในหลวงรวยที่สุดในโลก
แล้วตามมาใส่ไฟเพิ่มด้วยข้อมูลว่า...
ในหลวงผลาญเงินภาษีประชาชน
เพื่อให้เห็นภาพว่าในหลวงทำงานบนหลังคน
ซึ่งมันเป็นข้อมูลที่ย้อนแย้งกัน ถ้าในหลวงรวยที่สุดในโลก แล้วมีความจำเป็นอะไรที่ต้องใช้เงินจากภาษีของประชาชน ?
ความเป็นจริงที่ปล่อยข่าวเท็จว่าในหลวงรวยที่สุดในโลกนั้นคือ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่รัฐบาลเป็นเจ้าของทรัพย์สิน ไม่ใช่พระมหากษัตริย์
ภายหลังจากในหลวงรัชกาลที่ ๙ สวรรคต อาถรรพ์หลายอย่างที่ถูกสะกดมาตั้งแต่คณะราษฏร์ทำการปฏิวัติ ก็เริ่มคลาย เช่น มุดคณะราษฏร์ถูดถอน, ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ถูกรัฐบาล คสช นำไปถวายคืนคืนต่อในหลวงรัชกาลปัจจุบัน
ต้องใช้เวลาถึง 3 รัชกาล ทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ ที่มาจากพระคลังข้างที่ ที่พระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์สะสมมาตั้งแต่โบราณ ที่ถูกรัฐบาลคณะราษฏร์ยึดไป และรัฐบาลไทยในยุคต่อๆ มาได้ใช้ประโยชน์จากกองมรดกของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่อดีต ในการบริหารแผ่นดินเพื่อความผาสุกของประชาชนทุกคน ปัจจุบัน รัฐบาล คสช ได้ถวายกลับมาเป็นของพระมหากษัตริย์อีกครั้ง
แต่นักการเมืองและนักเคลื่อนไหวเป่าหูนักเรียน นักศึกษาและประชาชน ให้ออกมาเรียกร้องเพื่อยึดทรัพย์ จำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อีกครั้ง
ตามเจตนาที่เขาและเธอประกาศว่า เขาและเธอมาเพื่อสืบสานเจตนาของคณะราษฏร์ ทำสิ่งที่คณะราษฏร์ทำไม่สำเร็จ ให้สำเร็จ
เจตนาที่ว่านั้นคือ ล้มเจ้า
ใช่หรือไม่ ในใจเธอรู้ดี
อ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่นี่: “สานต่อภารกิจคณะราษฎร์” ด้วยการยึดทรัพย์ จำกัดพระราชอำนาจ"
ก่อนหน้านั้น นายอัษฎางค์ ได้โพสต์ถึงข้อเรียกร้องของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ว่า "ข้อเรียกร้อง เพื่อละเมิดสิทธิมนุษยชนของพระมหากษัตริย์"
• เรียกร้อง ขอให้มีสิทธิ์ ละเมิดพระมหากษัตริย์ได้
กฎหมายที่คุ้มครองสิทธิ์ของพระมหากษัตริย์ มิได้มีเฉพาะเมืองไทย แต่มีเหมือนกันทั้งที่อังกฤษ ญี่ปุ่น และทั่วทั้งโลก
ไม่เว้นแม้แต่ประเทศที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุขก็มีกฎหมายคุ้มครองประธานาธิบดี
ไม่เว้นแม้แต่ สส.ในสภา
หรือแม้แต่ประชาชนคนเดินดินทุกคน รวมทั้งน้องๆ นักศึกษาและอาจารย์ ก็มีกฎหมายห้ามละเมิดสิทธิ์ต่อกันเลย
ทำให้น้องๆ ถึงจะเรียกร้องขอสิทธิ์ละเมิดพระมหากษัตริย์?
• เรียกร้อง ขอมีสิทธิ์ ยึดทรัพย์สินในหลวง
ทรัพย์สินส่วนพระองค์หรือส่วนพระมหากษัตริย์ ก็คือทรัพย์สินส่วนพระองค์หรือส่วนพระมหากษัตริย์
แปลอีกทีก็คือ ทั้ง 2 คำนั้น คือสิ่งเดียวกัน คือทรัพย์สมบัติ(ส่วนตัว)ของพระมหากษัตริย์
แต่เมื่อครั้งคณะราษฏร์ปฏิวัติ ได้เล่นแค่แปรธาตุ หวังจะยึดทรัพย์ของพระมหากษัตริย์ เลยเล่นคำ เอาคำว่า ทรัพย์สมบัติ(ส่วนตัว)ของพระมหากษัตริย์ มาแยกเป็น “ทรัพย์สินส่วนพระองค์หรือส่วนพระมหากษัตริย์ “ จะได้หลอกตาประชาชน ว่าไม่ได้ยึดทรัพย์ในหลวง
คณะราษฎร ของคณะนายทหารที่มีพลเรือนที่เป็นนักการเมืองเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เขียนกฎหมายยึดทรัพย์สินของในหลวงไปยาวนานนับตั้งแต่รัชกาลที่ 7,8 และรัชกาล 9 กี่ปีลองนับดู
เพิ่งจะมีคณะนายทหาร ที่ชื่อ คสช ถวายคืนทรัพย์สิน อันเป็นของพระมหากษัตริย์ “มาตั้งแต่ต้น” คืนไปได้ในรัชกาลปัจจุบัน
แต่น้องๆ นักศึกษา ที่มีคณาจารย์ นักการเมือง นักเคลื่อนไหว ชักใยใส่ไฟอยู่เบื้องหลัง กลับมาขอสิทธิ์ยึดทรัพย์พระมหากษัตริย์อีกครั้ง เพื่อสานต่อภารกิจคณะราษฏร์
นิสิตนักศึกษา คณาจารย์ นักการเมือง นักเคลื่อนไหว ล้วนมีทรัพย์สินส่วนตน และส่วนของครอบครัวเหมือนกันกับพระมหากษัตริย์ จะมีคนมาขอสิทธิ์ยึดทรัพย์สินของคุณได้หรือไม่ แล้วทำไมคุณคิดจะยึดทรัพย์สินส่วนพระองค์ คุณเอาสิทธิ์อะไรมายึดทรัพย์ของพระมหากษัตริย์
•เรียกร้อง ขอมีสิทธิ์ให้ยกเลิกหน่วยงานส่วนพระองค์
องคมนตรี เป็นคณะที่ปรึกษาของในหลวง ไม่ได้มีอำนาจบริหารหรือปกครององค์กรใด
เอาแค่ สส.ในสภาแต่ละคน ยังมีคณะที่ปรึกษาส่วนตัวเลย แล้วทำไมในหลวงซึ่งเป็นสถาบันสูงสุด ถึงไม่ควรมีคณะที่ปรึกษา
รวมทั้งสถาบันที่เรียกว่า “รัฐสภา” ก็ยังมีคณะกรรมาธิการอีกตั้งหลายคณะ
สถาบันที่เรียกว่า “รัฐบาล” ก็มีหน่วยงานมากมาย
แล้วทำไม “สถาบันพระมหากษัตริย์” จะหน่วยงานส่วนพระองค์ไม่ได้
• เรียกร้อง ขอให้พระมหากษัตริย์เลิกรับบริจาค
อนาคตใหม่ ก้าวไกลก้าวหน้ารับบริจาคมั้ย ทำไมองค์กรเอกชน พรรคการเมือง กลุ่มการเมือง รับบริจาคได้ ทำไมจะห้ามพระมหากษัตริย์
ที่สำคัญเงินบริจาคที่ถวายในหลวงทั้งหมด ก็วนกลับมาสู่ประเทศชาติและประชาชน กลับมาสู่พ่อแม่ ตนเองและครอบครัว
• เรียกร้อง ขอใช้สิทธิ์ห้ามในหลวงพูดเรื่องการเมือง
จะจำกัดสิทธิของพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นคนไทยคนหนึ่ง แต่กลับเรียกร้องสิทธิ์ให้ตนเองทำได้ เห็นแต่ได้หรือเปล่า
ที่สำคัญ ยังไม่เคยเห็นในหลวงวิจารณ์การเมือง แม้แต่ครั้งเดียว
•เรียกร้อง ขอมีสิทธิ์สืบหาความจริง ที่ไม่มีอยู่จริง ว่าในหลวงสั่งเก็บประชาชนที่คิดต่าง
เรื่องนี้ โดนไอ้โม่งกุขึ้นมามั่วๆ แต่นักศึกษาที่อวดอ้างว่าเป็นปัญญาชน กลับแสดงความปัญญาอ่อนเชื่อเรืีองโกหกตื้นๆ ง่ายๆ
ยกตัวอย่างล่าสุด ไอ้โม่งจากแดนไกล กุเรื่องในหลวงสั่งอุ่ม ไอ้คนค้ายาที่ลี้ภัยในเขมร ที่เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองปลายแถว โนเนม
ถ้าในหลวงจะสั่งอุ้มใครสักคนจริง สั่งอุ้มไอ้หัวงอกหัวถอกที่ลี้ภัยในต่างแดนไม่ดีหรือ เพราะพวกนั้นคือหัวโจก สั่งอุ้มเด็กโนเนมปลายแถวจะได้อะไร
•เรียกร้อง ขอมีสิทธิ์สั่งให้ในหลวงไม่ให้เซ็นชื่อรับรองคณะปฏิวัติ
คณาจารย์และนักศึกษาปัญญาชน ไม่เคยเรียน ไม่เคยรู้จริงๆ หรือแกล้งโง่ ว่า การเซ็นรับรองของในหลวงนั้น เป็นไปตามธรรมเนียมและตามกฎหมาย
เช่น กฏหมายที่ผ่านการพิจารณาจาก สส. สว.ในรัฐสภา หรือกฏหมายที่ออกโดยคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล ต้องส่งหนังสือให้ในหลวงเซ็นรับรอง
ซึ่งตามธรรมเนียมปฏิบัติที่เหมือนกันทั่วโลก คือไม่ว่าพระมหากษัตริย์จะเห็นด้วยหรือไม่ ก็ต้องลงพระนาม ถ้าในหลวงไม่ลงพระนาม กฎหมายที่ออกโดยรัฐสภา หรือคณะรัฐมนตรี ก็จะถูกนำมาออกใช้อยู่ดี
สรุปคือไม่ว่าในหลวงจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย จะลงพระนามหรือไม่ กฎหมายนั้นจะถูกบังคับใช้อยู่ดี
ซึ่งในกรณีพิเศษที่เกิดขึ้นในยามที่ไม่ปกติ เช่นเมื่อเกิดการปฏิวัติ คณะปฏิวัติคือผู้กุมอำนาจคนใหม่ที่เข้ามาแทนที่ รัฐสภาและรัฐบาล
และเป็นไปโดยอัตโมัติที่”ในหลวงต้องลงพระนามรับรองคณะปฏิวัติ”
หนังสือหรือกฎระเบียบทุกอย่างที่ผ่านการพิจารณาของคณะปฏิวัติที่เข้ามามีอำนาจปกครองในช่วงไม่ปกติ ก็เป็นเหมือนกฎหมายที่ผ่านพิจารณาจากรัฐสภาหรือรัฐบาลในภาวะปกติ
ที่ต้องส่งให้พระมหากษัตริย์ลงพระนาม
ซึ่งตามธรรมเนียมปฏิบัติที่เหมือนกันทั่วโลก คือไม่ว่าในหลวงจะเห็นด้วยหรือไม่ ก็ต้องลงพระนาม รับรองคณะปฏิวัติ(ในภาวะไม่ปกติ) หรือรับรองรัฐบาล(ในภาวะปกติ)
ถึงในหลวงไม่ลงพระนามรับรอง คณะปฏิวัติก็มีอำนาจปกครองอยู่ดี
รวมทั้งกฎหมายหรือกฏระเบียบที่ออกโดยคณะปฏิวัติก็จะถูกนำมาออกใช้อยู่ดี
สรุปไม่ว่าในหลวงจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย จะลงพระนามหรือไม่ คณะปฏิวัติก็มีอำนาจปกครอง และมีอำนาจออกกฎหมาย ออกกฎระเบียบมาบังคับใช้ได้อยู่ดี
มิใช่ว่า การที่ในหลวงลงพระนามให้คณะปฏิวัติทุกคณะทุกครั้งที่เกิดขึ้นในเมืองไทย เพราะในหลวง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ
นัองๆ นักศึกษาจัดเวทีชุมนุมด้วยจุดประสงค์ที่ประกาศไว้ว่า เพื่อเรียกร้องประชาธิไตย (ทั้งๆ ที่เมืองไทย มีสภาที่มาจากการการเลือกตั้งของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว)
แต่ข้อเรียกร้องทั้ง 10 ประการ ไม่มีข้อใดเป็นข้อเรียกร้องประชาธิปไตยเลย
ข้อเรียกร้องทั้ง 10 ประการดังกล่าวล้วนเป็นข้อเรียกร้องที่จาบจ้วงและล่วงละเมิดต่อพระมหากษัตริย์อย่างชัดถ้อยชัดคำ
ซึ่งเป็นการผิดกฎหมายในข้อที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เจ้าหน้าที่รัฐต้องเอาผิดตามกฎหมาย ต่อนักศึกษา คณาจารย์ที่ลงชื่อสนับสนุน และไอ้โม่งที่อยู่หลังกระโปรงนักศึกษาทุกคน
เรื่องพวกนี้ อาจารย์ นักการเมือง รู้ดีที่สุด แต่กลับให้ข้อมูลที่บิดเบือนต่อนักเรียน นักศึกษา และประชาชน เพื่อหวังจะให้ร้ายและล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์
#ให้มันจบที่รุ่นเราให้มันจบที่ศาลตามกระบวนการยุติธรรม