- 14 พ.ค. 2562
ผบช.ภ.9 สั่งเอาผิดวินัย โทษอาญา แก๊งสีกากีนอกรีตอุ้ม กักขัง ยัดข้อหา ส.ต.ท.รีดเงิน
จากกรณีที่ ส.ต.ท.สัญลักษณ์ จันทร์ดำ ตำแหน่ง ผบ.หมู่ (ป) สภ.กะพ้อ จ.ปัตตานี (ผู้เสียหาย) พร้อมด้วย ร.ต.อ.สยบมาร ไมตรีจร เจ้าหน้าที่ชุด EOD จ.ปัตตานี (ลุง) และครอบครัว ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือและหลักฐาน ต่อพล.ต.ต.โพธ สวยสุวรรณ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า อ.เมือง จ.ยะลา เพื่อขอความเป็นธรรม กรณีถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว เรียกทรัพย์ เหตุเกิดที่บริเวณซอย 18 รัตนอุทิศ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อ 22.30 น. คืนวันที่ 26 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา
ล่าสุดโฆษกตำรวจภูธรภาค 9 เปิดเผยว่าผบช.ภ.9 สั่งดำเนินคดีอาญาตำรวจ 3 นาย และพลเรือน 1 คน ในความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพ และเอาผิดทางวินัยร้ายแรงกับข้าราชการตำรวจจำนวน 4 นาย เป็นข้าราชการตำรวจ กองบังคับการสืบสวนภาค9 จำนวน 3 นาย เป็นข้าราชการตำรวจ สภ.คอหงส์ 1 นายในความผิดฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
สำหรับคดีดังกล่าว ส.ต.ท.สัญลักษณ์ จันทร์ดำ ได้เล่าว่า "ในวันเกิดเหตุตนกำลังเดินทางขับรถไปส่งเพื่อนๆ หลังเสร็จงานเลี้ยงวันเกิดของตนเอง เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ บริเวณซอย 18 รัตนอุทิศ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีรถกระบะวีโก้สีดำมาจอด และมีชายฉกรรจ์ ประมาณ 10 คน ลงมาจากรถ และมุ่งตรงมาที่ตนเอง โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร จากนั้นเพื่อนของตนได้นำปืน M16 ซึ่งเป็นปืนประจำกายที่อยู่ในรถเก๋งออกมาจากรถทำท่าจับแนวเฉียงเพื่อป้องกันตัวเพราะไม่รู้ว่ากลุ่มชายฉกรรจ์เป็นใครและไม่ได้แสดงตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่ไม่มีการแขวนบัตรให้เห็น จนกระทั่งมีเสียงตะโกนว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ อย่าขัดขืน(ทราบที่หลังว่าเป็นชุดสืบสวน ภาค 9 และมีหัวหน้าชุดยศ ดต.) ตนเห็นเพื่อนเอาปืนดังกล่าวออกมาจึงบอกให้เก็บและตนก็ตะโกนกลับไปว่าตนก็เป็นตำรวจ"
"ทันใดนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์ก็ได้เข้าประชิดตัวจับกุม ตนและเพื่อน จากนั้นได้มีการนำตนและไปกักขังหน่วงเหนี่ยวที่เซฟเฮ้าส์ ในซอยร้านอาหารสุขขำ ใกล้ๆกับสามแยกท่าแซ 1 คืน โดยที่ไม่ได้นำส่งพนักงานสอบสวนท้องที่รับผิดชอบ พร้อมทำการบันทึกการจับกุม แจ้งข้อหามีอาวุธปืนของทางราชการ ออกนอกพื้นที่ ไว้ในครอบครอง และพยามฆ่าเจ้าหน้าที่ในการจับกุม จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ให้ นางสาวเอ (นามสมมุติ) แฟนสาวของเจ้าหน้าที่ในการจับกุม เป็นธุระประสานผู้ปกครองของตนและเพื่อน ให้นำเงิน 500,000 บาท มาให้จึงจะพ้นผิดไม่ต้องดำเนินคดีใดๆ และจะทำการปล่อยตัว ทางผู้ปกครองเมื่อรับทราบเรื่อง มีความกลัว และเกรงว่าลูกจะถูกจับและออกจากตำรวจ จึงเร่งรีบรวบรวมทรัพย์สินไปขายและได้เงินมาจำนวน 120,000 บาท"
"จากนั้นรีบเดินทางจาก จ.พัทลุงไปหาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมที่เซฟเฮ้าที่นัดหมาย โดยที่ผู้ปกครองกับตนและเพื่อนถูกแยกไม่ได้เจอหน้ากัน ซึ่งในการเจรจานั้นตนไม่รู้เรื่องเลย ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงสั่งผ่านนางสาวเอ (นามสมมุติ) ลดให้เหลือ 200,000 บาท ถ้าไม่ได้เงินตามจำนวนจะส่งดำเนินคดีทันที ทางผู้ปกครองของตนจึงตัดสินใจจำนำรถยนต์เก๋ง โตโยต้า หมายเลขทะเบียน ก 2941 กรุงเทพมหานคร ของผู้เสียหาย ได้เงินตกลงทางวาจา จำนวน 80,000 บาท รวมกับ120,000 บาท ครบ 200,000 บาท แต่ฝ่าย นส.เอ บอกว่า คิดดอก ร้อยละสิบจาก 80,000 บาทเป็น 88,000 บาท หากจะมาไถ่ถอน จากนั้นจึงมีการปล่อยตัวผู้เสียหาย พร้อมพวก จำนวนทั้งหมด 6 คน และได้คืนอาวุธปืนประจำกายของตน ในช่วงเที่ยงของวันที่ 27 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา"
"ส.ต.ท.สัญลักษณ์ จันทร์ดำ เล่าต่อไปว่า "ผู้ปกครองของตน ได้ติดต่อนางสาวเอ (นามสมมุติ) เพื่อขอไถ่ถอนรถยนต์เก๋ง โตโยต้า หมายเลขทะเบียน ก 2941 กรุงเทพมหานคร ปรากฎว่า นางสาวเอ(นามสมมุติ) พยายามบ่ายเบี่ยง และบอกว่ารถคันดังกล่าวได้ขายต่อให้กับกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดไปแล้ว ในราคา 120,000 บาท ทางผู้ปกครองได้ไปปรึกษา ร.ต.อ.สยบมาร ไมตรีจร เจ้าหน้าที่ชุด EOD ปัตตานี มีศักดิ์เป็นลุงและเป็นพี่ชายของผู้ปกครองทำให้ลุงโกรธมาก เพราะไม่คิดว่าตนซึ่งเป็นหลานและเป็นตำรวจจะถูกกระทำแบบนี้ จึงทำบันทึกรายละเอียดข้อเท็จจริงทั้งหมด ยื่นต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อขอความเป็นธรรม"
โดยก่อนหน้านี้ ทางพนักงานสอบสวน สภ.หาดใหญ่ ได้ทำการสอบสวน ส.ต.ท.สัญลักษณ์ ในรายละเอียดทุกอย่างของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนานกว่า 4 ชั่วโมง และเร่งสรุปคดีเพื่อเตรียมยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ภายใน 30 วัน ส่วนเรื่องรถเก๋งที่ถูกนำไปจำนำต่อให้กับผู้ค้ายาเสพติดตำรวจ สภ.บางกล่ำ ไปยึดเก๋งคันนี้กลับมาแล้ว
ส่วนกลุ่มตำรวจที่ถูกกล่าวหาขณะนี้รู้ตัวแล้ว โดยเป็นตำรวจทั้งชั้นประทวนและสัญญาบัตร รวม 3 ราย และอีกรายเป็นหญิงสาวที่ทำหน้าที่เป็นคนติดต่อประสานงาน (อ้างตัวว่าเป็นภรรยาตำรวจ) คนเหล่านี้อยู่ระหว่างการถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยและเร่งดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยเร็วที่สุดและจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย