- 26 ก.ค. 2564
ถือเป็นนักแสดง - พิธีกร มากความสามารถอีกคนหนึ่งในวงการบันเทิง ที่ชีวิตฝ่ามรสุมเรื่องราวมา เยอะพอสมควร สำหรับ แอน-สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ ที่ล่าสุดนั้นเธอมาเปิดใจในรายการวู้ดดี้โชว์ (Woody Show)
ถือเป็นนักแสดง - พิธีกร มากความสามารถอีกคนหนึ่งในวงการบันเทิง ที่ชีวิตฝ่ามรสุมเรื่องราวมา เยอะพอสมควร สำหรับ แอน สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ ที่ล่าสุดนั้นเธอมาเปิดใจในรายการวู้ดดี้โชว์ (Woody Show) ถึงปมในใจที่ติดค้างมานาน
แอน เผยว่า “ตอนเด็กๆที่ถูกบูลลี่แน่นเลยค่ะ เวลาเดินอยู่ในซอยบ้านเขาก็จะว่าผอมยังกับไม้เสียบผี หน้าตาเหมือนฝรั่งขี้นก ในยุคนั้นก็จะมองว่าคุณแม่เรานอกรีต เพราะว่าไปแต่งงานกับชาวต่างชาติ คุณพ่อเป็นทหารอเมริกันในยุคสงครามเวียดนาม แล้วคุณพ่อก็กลับประเทศไป ตอนนั้นไม่อยากเป็นลูกครึ่งเลย ทำไมถึงมีกระ ทำไมหน้าตาไม่เหมือนชาวบ้านเขา ไม่ชอบเลยอยากหน้าตาเป็นคนไทย ก็นานอยู่กว่าจะปรับตัวได้ค่ะ”
“เรื่องบัตรประชาชนไม่เคยมีมาก่อน อันนี้ไม่เคยบอกใคร ไม่ค่อยเล่าให้ใครฟังเท่าไหร่เรื่องนี้ คือตอนที่คุณแม่แต่งงานกับคุณพ่อเขาก็จดทะเบียนกันถูกต้องนะคะ แล้วพอดีว่าทางนั้นเขาเขียนมาว่าไม่มีสัญชาติ เขียนว่าคุณพ่อสัญชาติอเมริกัน คุณแม่สัญชาติไทย แต่พอเขียนถึงลูกเขียนว่าไม่มีสัญชาติ ดังนั้นถ้าใครเห็นบัตรประชาชนแอนจะเห็นว่าจะเป็นตัวเลขนำหน้าขึ้นต้นด้วยเลข 5 ตั้งแต่เด็กไม่มีบัตรประชาชนเลย จนกระทั่งแอนเป็นดาราเล่นละครแล้วด้วยนะ จนได้ไปเจอกับคุณหญิงประณีตศิลป์ ท่านก็เอ็นดูแอน ท่านเลยช่วยพาไปเดินเรื่องจนได้บัตรประชาชนมาค่ะ”
แอน เล่าต่อว่า “จริงๆเรื่องปมในชีวิตแอนอ่ะ คือแอนเป็นคนที่ Positive Thinking นะ มองในแง่บวกสำหรับชีวิตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงาน หลายๆ คนก็จะพูดว่าเป็นผู้หญิงที่ผ่านสามี แต่งงาน 2 ครั้ง 3 ครั้งอะไรแบบนี้ เรื่องข่าวเยอะแยะมากมาย เรื่องลูก เป็นข่าวในเชิงลบทั้งหมด ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นความทรงจำที่ดีสำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่แอนก็มองว่าคนเราบางทีจังหวะชีวิตหรือแม้แต่การตัดสินใจมันก็มีความผิดพลาดกันเกิดขึ้น แอนก็จะให้อภัยตัวเองตลอดเวลา แล้วก็บอกว่าไม่เป็นไรนะ แต่มันก็เป็นความทรงจำที่ไม่ดีเท่าไหร่ในเรื่องความรักตรงนั้น โชคดีว่าเราได้อยู่กับคนปัจจุบัน ซึ่งเขาก็เป็นคนที่เข้าใจชีวิต”
“ที่แอนเลือกนิ่งตลอดเพราะเป็นคนยุคเก่ามั้งคะ ยังปรับตัวไม่ได้ จริงๆ แล้วต้องพูด คือมันยังเป็นความคิดยุคก่อนอยู่ แล้วเราก็ถามคนที่อยู่รอบข้าง ครอบครัวก็บอกว่ายิ่งพูดก็เหมือนยิ่งไปต่อคำ แต่ถ้าเป็นสมัยนี้พูดก่อนได้เปรียบ เราก็เลยไม่อยากที่จะไปพูดอะไร รู้สึกไม่อยากอยู่ประเทศไทยเลย อยากไปใช้ชีวิตอิสระเสรี ทำอะไรในส่วนที่เป็นสิทธิของตัวเองที่เราพึงกระทำได้ พูดกันจริงๆ ณ ปัจจุบันเราก็ต้องยอมรับนะคะ ว่าเดี๋ยวนี้สังคมเปิดกว้างแล้ว คนไม่ได้คิดมากเรื่องการมีสามีฝรั่ง แต่ว่าอีกส่วนหนึ่งคนก็ยังยึดติด เราก็ต้องยอมรับความเป็นจริง บางคนก็จะมีคอมเม้นต์แรงๆ ว่าไม่มีผู้ชายไทยคนไหนชอบแล้วสิ ต้องไปเอาสามีฝรั่ง ถ้าเป็นสมัยก่อนแอนจิตตกนะคะ แต่สมัยนี้แอนพูดกับตัวเองว่าจะจิตตกไปทำไม เพราะว่าแบกไปก็ไม่มีใครเห็นไม่มีใครรู้ คนที่เขาชอบเราก็มี คนที่ไม่ชอบเราก็มี ก็ต้องปล่อยแล้วค่ะ”