- 04 ส.ค. 2564
เกรียนคีย์บอร์ดจีนถล่มเละ นักกีฬาแข่งโอลิมปิกทำดีได้แค่เหรียญเงิน จน ซู ซิน และ หลิว ซื่อเหวิน 2 นักปิงปองต้องออกมาร่ำไห้ขอโทษผ่านสื่อ
ได้ชื่อว่าการแข่งขันกีฬาระดับโลกอย่างโอลิมปิกแล้วแน่นอนว่า นักกีฬาหลายๆ คนย่อมมีความกดดันอยู่แล้วกับชนิดกีฬาที่ตนเองถนัด เนื่องจากว่ายิ่งเข้ารอบลึกๆ เพื่อจะไปถึงเหรียญทองอย่างที่ตั้งหวังเอาไว้คู่แข่งก็จะยิ่งแข็งแกร่งและเก่งไม่แพ้กันเลย ดังนั้นไม่แปลกใจเลยจริงๆ เวลาที่ได้รับชัยชนะแล้วถึงกับร้องไห้โฮด้วยความดีใจ
เช่นเดียวกับเรื่องนี้ที่ทำให้ ซู ซิน และ หลิว ซื่อเหวิน 2 นักกีฬาเทนเบิลเทนนิส หรือ ปิงปอง ในประเภทคู่ผสม ต้องร้องไห้ที่นอกจากจะอกหักที่ทำได้ดีที่สุดเพียงแค่เหรียญเงินเท่านั้น แต่ด้วยความที่พวกเขาดันไปแพ้ในรอบชิงชนะเลิศจนเสียเหรียญทองให้กับเจ้าภาพญี่ปุ่นอย่าง จุน มิซูทานิ และ มิมะ อิโตะ แล้ว ยังโดนชาวเน็ตจีนรุมด่า
จากที่ทั้งคู่ได้เพียงแค่เหรียญเงินนั้น ทำให้ ซู ซิน และ หลิว ซื่อเหวิน ถูกกระแสโจมตีด้วยความเดือดดาลจากโลกออนไลน์ ซึ่งตามรายงานของสื่อต่างประเทศได้เผยให้เห็นโมเม้นต์ของ สองนักปิงปองจีน ที่ออกมาขอโทษทั้งน้ำตาหลังสามารถทำผลงานได้ดีสุดได้แค่เหรียญเงินเท่านั้น
หลิว ซื่อเหวิน หนึ่งในนักปิงปองจีนคู่ผสม ได้กล่าวทั้งน้ำตาที่กำลังเอ่อคลอ พร้อมทั้งโค้งขอโทษชาวเน็ตและแฟนคลับในประเทศว่า "ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองทำให้ทีมพ่ายแพ้ ฉันต้องขอโทษทุกๆ คนด้วย"
ในขณะที่ ซู ซิน คู่ผสมของเธอได้กล่าวเสริมว่า "ทั้งประเทศกำลังตั้งหน้าตั้งตารอแมตช์สุดท้ายนี้ ผมคิดว่าทีมจีนทั้งหมดคงไม่ยอมรับผลนี้"
ดราม่าดังกล่าวที่เกิดขึ้นที่ จีนได้พ่ายแพ้ให้กับทีมชาติญี่ปุ่นในรอบชิงเหรียญทอง จากกีฬาที่ปกติจีนมันเป็นผู้คว้าเหรียญทองได้นั้น ทำให้ชาวเน็ตจีนจำนวนมากเกิดความไม่พอใจ อีกทั้งยังพบว่าบนโซเชียลมีเดียอย่างเว่ยป๋อ เกรียนคีย์บอร์ดจำนวนมากต่างออกมาแสดงความเห็นถล่มนักกีฬาทั้งคู่ พร้อมทั้งตราหน้าว่าพวกเขาทำให้ประเทศชาติล้มเหลว และบางคนยังอ้างส่งๆ ว่า ผู้ตัดสินต้องมีใจเข้าข้างญี่ปุ่นแน่ๆ
นอกจากนี้ในขณะที่กระแสชาตินิยมยังแผ่ขยายไปทั่วประเทศ ซึ่งการได้รับเหรียญโอลิมปิกนั้นกลายเป็นมากกว่าความรุ่งโรจน์ด้านกีฬา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่าสำหรับกลุ่มชาตินิยมสุดโต่งนั้น การเสียเหรียญโอลิมปิกไปนั้นก็เหมือนกันการไม่รักชาติ
ด้าน ดร.ฟลอเรียน ชไนเดอร์ ผู้อำนวยการศูนย์เอเชียศึกษาในเมืองไลเดิน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ให้ความเห็นว่า สำหรับกลุ่มคนรักชาติสุดโต่งนั้น ตารางเหรียญโอลิมปิกเป็นเหมือนตัววัดความกล้าหาญและศักดิ์ศรีของชาติ ซึ่งในบริบทนี้คนที่ล้มเหลวในการแข่งขันให้แก่นักกีฬาต่างชาติ จะสร้างความผิดหวังหรืออาจะถูกมองเป็นการทรยศต่อชาติ
ดร.ฟลอเรียน อธิบายต่อไปอีกว่า การพ่ายแพ้ในการแข่งเทเบิลเทนนิส คู่ผสม ยิ่งเป็นเหมือนยาขมสำหรับจีน เพราะพวกเขาพ่ายแพ้แก่ญี่ปุ่น ซึ่งเคยมีประวัติศาสตร์ความขัดแย้งร่วมกัน โดยในกลุ่มชาตินิยมของจีน แมตช์ดังกล่าวไม่ใช่แค่การแข่งขันด้านกีฬาเท่านั้น แต่ยังเป็นความขัดแย้งระหว่างจีนกับญี่ปุ่น
ทั้งนี้กระแสโจมตีที่คล้ายกันไม่ได้มีเฉพาะแค่การแข่งเทเบิลเทนนิสกับญี่ปุ่นเท่านั้น แม้แต่ หลี่ จุนฮุย กับ หลิว ยู่เฉิน นักแบดมินตันชายของจีน ก็ตกเป็นเป้าโจมตีของชาวเน็ต หลังจากที่พวกเขาพ่ายแพ้ในรอบชิงชนะเลิศ แบดมินตันชายคู่ ให้แก่คู่แข่งจากไต้หวัน ซึ่งทำให้ชาวเน็ตบางรายถึงกับระบุในเว่ยป๋อว่า "พวกนายยังไม่ตื่นหรือไง ทำไมไม่อัดความพยายามเข้าไปเลยล่ะ"
ไม่เพียงนักกีฬาจีนเพียงแค่ 2 ชนิดเท่านั้นที่ถูกโจมตี เพราะ หยาง เชียน นักแม่นปืนสาวจีน ที่คว้าเหรียญทองแรก จากการแข่งขันยิงปืนยาวอัดลมระยะ 10 เมตร หญิง ก็ยังตกเป็นเป้าโจมตีของชาวเน็ตไม่ต่างกัน หลังมีคนขุดโพสต์เก่าของเธอที่เคยออกมาอวดคอลเล็กชั่นรองเท้าไนกี้ ท่ามกลางกระแสการแบนรองเท้ายี่ห้อดังกล่าวในจีน
หยาง เชียน โดนต่อว่าด้วยถ้อยคำที่ระบุว่า "ในฐานะนักกีฬาจีน ทำไมเธอถึงเก็บคอลเล็กชั่นรองเท้าไนกี้ล่ะ ไม่ใช่ว่าเธอควรเป็นคนออกโรงนำในการคว่ำบาตรไนกี้หรอกเหรอ" นั่นทำให้ยังมีผู้คนมากมายที่เกิดความไม่พอใจ จนในที่สุดนักแม่นปืนสาวต้องลบโพสต์ดังกล่าวออกไป
ขณะเดียวกัน ดร.โจนาธาน ฮัสซิด ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยประจำรัฐไอโอวา ของสหรัฐอเมริกาได้กล่าวถึงกรณีลักษณะเช่นนี้ว่าในขณะนี้จีนมีกลุ่มคนหนุ่มสาวที่มีความคิดแบบชาตินิยมอย่างแรงกล้าเกิดขึ้น และพวกเขาส่งเสียงได้ดังมากบนโลกออนไลน์ ซึ่งสามารถครอบงำเนื้อหาบนโลกออนไลน์ได้มากเกินสัดส่วนจริง ซึ่งปฏิกิริยาเดือดจากคนเหล่านี้ ไม่ได้เป็นตัวแทนของเสียงข้างมากในจีนแต่อย่างไร
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบยังพบอีกว่า ในขณะที่บนเว่ยป๋อมีกระแสความไม่พอใจในตัวนักกีฬาเกิดขึ้น แต่ก็ยังมีคนในวงกว้างที่สนับสนุนทีมชาติจีน และชี้ว่าคนที่ออกมาโจมตีนักกีฬานั้นช่างไร้เหตุผล โดยแม้แต่สื่อของรัฐก็ยังขอให้ประชาชนมีเหตุผลในการรับชมกีฬามากกว่านี้
ข้อมูลจาก BBC
ภาพจาก liuyuchen88888 , liushiwen_fans และ tokyo2020