- 05 ธ.ค. 2564
หมอฟันหัวใส จำใจต้องฉีดวัคซีนโควิด ก่อนโดนจับโป๊ะอย่างแรง เรื่องใหญ่จนถึงขั้นถูกพักงานยาวๆ และมีสิทธิ์ได้รับโทษทางกฎหมาย
กำลังเป็นที่สนใจไปทั่วโลกเลยก็ว่าได้ เมื่อ สื่อต่างประเทศได้รายงานเรื่องราวของ หมอหัวหมอ เพราะเกิดเหตุการณ์ทันตแพทย์รายหนึ่ง วัย 57 ปี ในประเทศอิตาลี อาจถูกตั้งข้อหาดำเนินความผิดทางกฎหมาย ภายหลังจากก่อเหตุหลอกลวง
ตามรายงานระบุว่า หมอฟันชาวอิตาลี รายดังกล่าวพยายามรับวัคซีนโควิด ด้วยแขนปลอมที่ทำจากซิลิโคน แต่ไม่สำเร็จ และถูกเปิดเผยความจริงในที่สุด ซึ่งเหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นที่เมืองบีเยลลา ทางตอนเหนือของอิตาลี
จากคำบอกลเาของ ฟิลิปปา บูอา พยาบาลผู้รับผิดชอบฉีดวัคซีนให้กับทันตแพทย์รายดังกล่าว เผยว่า เธอรับรู้ได้ถึงความผิดปกติเมื่อจิ้มเข็มลงไปที่แขนของเขา เพราะเมื่อเปิดแขนของเขาขึ้นมา ก็มีความรู้สึกว่า ผิวของเขาเย็นๆ และมีความเหนียว ทั้งยังมีสีสว่างกว่าปกติอีกด้วย
นอกจากนี้ พยาบาลคนดังกล่าวยังเปิดเผยต่อไปอีกว่า ตอนแรกคิดว่าเขาเป็นผู้พิการทางร่างกาย และยื่นแขนมาให้ผิดข้าง จึงได้ยกแขนเสื้อขึ้นเปิดดู ก่อนจะพบว่า แท้จริงแล้วมันคือแขนปลอมที่ทำจากซิลิโคน เมื่อเห็นเช่นนั้น ทางพยาบาลจึงเข้าใจในทันทีว่า ชายรายดังกล่าวนี้จงใจใช้แขนปลอมมาฉีดวัคซีน เพื่อเลี่ยงการรับวัคซีนเข้าร่างกาย โดยหวังว่าทางพยาบาลจะไม่รู้ว่ามันคือแขนปลอม
ท้ายที่สุด หมอฟันรายนี้ก็ยอมรับว่า เขาไม่ต้องการฉีดวัคซีน เพียงแค่ต้องการใบรับรองการฉีดวัคซีน ภายหลังจากทางรัฐประกาศว่า ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม เป็นต้นไป ผู้ที่จะไปใช้บริการสถานที่ต่างๆ ในอิตาลี อาทิ ร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ ฟิตเนส สระว่ายน้ำ ฯลฯ จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนเท่านั้น
แน่นอนว่า ทางพยาบาลก็ได้รายงานเคสไปยังหัวหน้า หลังจากที่เรื่องตุกติกดังกล่าวถูกเปิดเผย ซึ่งก่อนจะมีการแจ้งเรื่องไปทางอัยการในพื้นที่ให้ดำเนินสอบสวนเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้
ขณะเดียวกัน รายงานท้องถิ่นยังได้เปิดเผยอีกว่า ทันตแพทย์รายดังกล่าวถูกสั่งพักงานตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เนื่องจากปฏิเสธที่จะรับวัคซีนมาตั้งแต่แรก ในขณะที่รัฐบาลอิตาลีกำหนดให้บุคลากรทางการแพทย์ต้องได้รับวัคซีนโควิด
อย่างไรก็ตาม สำหรับอัตราการฉีดวัคซีนของอิตาลีปัจจุบัน ค่อนข้างสูงอยู่ที่ 85 % ของประชากรที่มีสิทธิ์ได้รับวัคซีน ซึ่งมีอายุ 12 ปีขึ้นไป ทว่ายังมีอีกจำนวนไม่น้อยต่อต้านการฉีดวัคซีน โดยเกือบ 3.5 ล้านราย ยังไม่ได้รับวัคซีนโดสแรก
ข้อมูลจาก เอ็นบีซีนิวส์, บีบีซี และ เดลี่เมล