- 13 มิ.ย. 2565
สาวชาวสหรัฐฯฟ้องบริษัทประกันรถ หลังแซ่บกับแฟนหนุ่มจนติดเชื้อ HPV ศาลตัดสินให้ชนะคดี อาจได้ชดเชยเกือบ 200 ล้าน
สาวชาวสหรัฐฯฟ้องบริษัทประกันรถ อาจได้ชดเชยเกือบ 200 ล้าน กลายเป็นอีกหนึ่งเคสสุดแปลกที่ชาวเน็ตทั่วโลกให้ความสนใจอย่างมาก เมื่อสื่อต่างประเทศรายงานเคสฟ้องร้องของหญิงสาวรายหนึ่งจากรัฐมิสซูรี สหรัฐอเมริกา ที่เธอดำเนินการฟ้องบริษัทประกันภัยรถยนต์ Geico เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย ภายหลังจากมีแซ่บกับแฟนหนุ่ม (ซึ่งปัจจุบันเธอระบุว่า เลิกกันไปแล้ว) บนรถ จนเป็นเหตุให้ได้รับเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
โดยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 หญิงสาว ซึ่งใช้ชื่อย่อว่า M.O. ได้ยื่นฟ้องอ้างว่า เธอติดเชื้อ HPV หรือ ไวรัสฮิวแมนแพพพิลโลมา (Human papillomavirus) ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็งในระบบสืบพันธุ์ได้ ซึ่งเธอและอดีตแฟนหนุ่มคนดังกล่าว ได้จัดกิจกรรมกันบนรถโดยไม่ได้ป้องกัน ก่อนที่เธอจะมาทราบในภายหลังว่าเขาติดเชื้อ HPV อยู่ก่อนแล้วแต่ไม่ยอมบอกเธอ
หญิงสาวคนดังกล่าว เล่าว่า เหตุดังกล่าวทำให้เธอต้องสูญเสียเงินค่ารักษาพยาบาลทั้งในอดีตและอนาคต รวมทั้งได้รับความเจ็บปวด ความทุกข์ทางจิตใจ และร่างกาย เธอจึงดำเนินคดีทางกฎหมายกับอดีตแฟนหนุ่ม ที่ทำให้เธอติดเชื้อโดยประมาท ในขณะเดียวกัน ก็ชี้ว่า กรมธรรม์ของทางบริษัทประกันรถยนต์ ควรครอบคลุมการบาดเจ็บและความสูญเสียของเธอด้วย
ทว่าทาง บริษัท Geico ปฏิเสธที่จะจ่ายให้กับเธอและอดีตแฟนหนุ่ม จึงนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ ที่พิจารณาว่าฝ่ายชายทำให้ฝ่ายหญิงติดเชื้อจากความประมาทจริง จึงคำตัดสินให้มีการจ่ายค่าเสียหายแก่ ฝ่ายหญิง เป็นจำนวนเงิน 5.2 ล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 180 ล้านบาท ซึ่งทางบริษัทประกันรถยนต์ต้องเป็นผู้จ่าย
ทั้งนี้ศาลของรัฐมิสซูรีมีความเห็นว่า กิจกรรมของทั้งคู่ในรถนั้น ส่งผลโดยตรง หรือมีส่วนทำให้เกิดการติดเชื้อ HPV ทางบริษัทควรจะมีส่วนร่วมรับผิดชอบ และปกป้องผลประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย ทว่าจากการพิจารณาคดีในชั้นศาล พบว่า ทางบริษัทประกันภัยกลับปฏิเสธความคุ้มครอง และปฏิเสธที่จะปกป้องผู้เอาประกันภัย
แต่เหมือนเรื่องราวนี้จะจบลงง่ายๆ โดยฝ่ายหญิงอาจได้รับค่าชดเชยตามนั้น เพราะ ทางบริษัท Geico ได้โต้แย้งคำตัดสินของศาล โดยอ้างว่า ข้อเรียกร้องดังกล่าวไม่อยู่ภายใต้นโยบาย จึงยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา แต่ผลปรากฏว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ปฏิเสธการเคลื่อนไหวของบริษัท
ข้อมูลจาก อินเดียไทมส์, ซีบีเอสนิวส์