- 22 ม.ค. 2566
เปิดตำนาน จอมขมังเวทย์เสกเงิน ดึงดูดสาวกได้หลายหมื่น รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาล ไขความลับ ของจริง หรือ แค่ความโลภบังตา
เปิดตำนาน จอมขมังเวทย์เสกเงิน ไขความลับ ของจริง หรือ แค่ความโลภบังตา อีกหนึ่งตำนานที่ยังถูกพูดถึงกับกรณีของ ชายชาวอินโดนีเซียคนหนึ่งอ้างเป็นจอมขมังเวทย์ที่สามารถเสกเงินได้ และใช้เวลาไม่นานก็สามารถดึงดูดสาวกได้หลายหมื่น รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาล และแม้จะติดคุกคนก็ยังไม่เลิกศรัทธา
โดยทนายความและนักธุรกิจชื่อ มูฮัมหมัด อาลี เล่าย้อนเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เมืองโปรโบลิงโก จังหวัดชวาตะวันออก เวลาที่ ดิมัส คันเจ็ง (Dimas Kanjeng) ซึ่งตั้งตนเป็นจอมขมังเวทย์จัดพิธีใดก็ตาม จะมีคนหลายหมื่นไปเข้าร่วมและเชื่อว่า สาวกของนายคันเจ็งจะมากถึง 23,000 คน
"ผมหลงเสน่ห์" นายอาลีเล่าถึงความรู้สึกสมัยที่เป็นสาวกของคันเจ็ง ที่เขาบรรยายว่าเป็นคนที่น่าเชื่อ มีอำนาจ และมีเสน่ห์ แต่มันเป็นยิ่งกว่าบุคลิก คันเจ็งที่มีชื่อจริงว่า ทาอัต ปริบาดี อ้างตัวว่ามี "พลังวิเศษ" ในการเรียกเงิน และแสดงให้สาวกได้ประจักษ์ และจากการเล่ากันปากต่อปากเรื่องราวของเขาก็แพร่สะพัดอย่างรวดเร็วไปทั่วประเทศในปี 2552
ต่อมาในปี 2555 เขาจดทะเบียนตั้งมูลนิธิอย่างเป็นทางการ ชื่อ "ปาเดโปกัน ดิมัส คันเจ็ง ทาอัต ปริบาดี" (Padepokan Dimas Kanjeng Taat Pribadi)และจากนั้นก็อู้ฟู่ชึ้นเรื่อยๆ ทั้งเงินและทรัพย์สิน ที่ล้วนแล้วมาจากสาวก ซึ่งมูฮัมหมัด อาลี บอกว่าในเวลาเพียง 2 ปีกว่า นับจากต้นปี 2557 เขาเสียเงินให้คันเจ็งไปกว่า 35,000 ล้านรูเปียห์ หรือ 75 ล้านบาท แต่เขาเป็นแค่หนึ่งในหลายพันคนที่เอาเงินไปถมให้คันเจ็ง
แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีการพบศพ 2 ศพ ที่พบว่าเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิ ส่วนนายคันเจ็งถูกเปิดโปง "ผลงานการฉ้อโกง" และถูกตัดสินจำคุก แต่สาวกจำนวนมากก็ยังคงศรัทธา
อาห์หมัด ไฟซอล ผู้สื่อข่าวในพื้นที่ ถูกเชิญไปที่ตำหนักของดิมัสเมื่อปี 2553 เพื่อไปทำข่าวการทำพิธีกรรมและการทำการกุศล และดิมัสได้ใช้โอกาสนั้นดึงดูดสาวก แต่ไม่ใช่ว่าจะเข้าได้ง่ายๆ มีการเข้มงวดด้านการรักษาความปลอดภัย ถ้าไม่ได้รับเชิญก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า
ทั้งนี้การแสดงพลังวิเศษของดิมัสเริ่มด้วยการให้ไฟซอลค้นตัว ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้เอามือไพล่หลัง จากนั้นก็เริ่มเสกเงินที่เริ่มต้นราว 50 ล้านรูเปียห์ ก่อนจะเพิ่มเป็น 100 ล้านรูเปียห์ พอถามว่าเขาทำได้อย่างไร ดิมัสก็บอกว่ามาจากการไปนั่งสมาธิบนภูเขา เขายังอ้างว่ารักษาโรคได้ โดยบาบุล อาริฟันดี ผู้สื่อข่าวในพื้นที่อีกคนหนึ่งบอกว่า มีพิธีกรรมบางอย่างและมีข้อกำหนดที่ผู้ป่วยจะต้องปฏิบัติ แต่ที่น่าตื่นตาตื่นใจก็คือ ดิมัสทำตัวเป็นแม่เหล็กดูดเงินหลายล้านรูเปียห์จากสาวกได้เช่นกัน
มูฮัมหมัด อาลี เปรียบเทียบว่ามันเหมือนน้ำผึ้งที่ดึงดูดฝูงมด ตัวเขาเองก็ได้รับคำสัญญาว่าเงินจำนวนมากที่เสียไป จะได้กลับคืนมามากกว่าเดิมหลายเท่า ตอนแรกเขาก็ไม่ได้อยากจะทุ่มลงไปมากนัก แต่พอได้ยินว่าจะได้คืนและมากกว่าเดิมก็กลายเป็นแรงผลักดัน ให้เขาเอาเงินไปทุ่มให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้กระทั่งขายทรัพย์สินและกู้เงินจากธนาคาร
ดิมัสได้ตอบแทนเขาด้วยกระเป๋าเดินทางหลายใบเป็นหลักประกัน และบอกว่าคือ "เงิน" แต่มันถูกล็อกเอาไว้ ก่อนจะกำชับว่า "ถ้ากระเป๋าถูกเปิดก่อนเวลาอันสมควร คุณจะตาย ตาบอดและเป็นอัมพาต" และแน่นอนว่ามันทำให้เเขากลัว
ขณะที่สาวกคนอื่นๆ ก็โดนขู่แบบเดียวกันแต่ก็ยังหลงเชื่อเพราะความโลภ บางคนไม่อาจห้ามใจเมื่อเห็นเงินล้านๆ รูเปียห์ มูฮัมหมัด อาลี บอกว่าก่อนจะยอมมอบเงินเขาได้ตรวจสอบสถานะทางการเงินของมูลนิธิ และเห็นสเตตเมนต์ของธนคารต่างประเทศสาขาจาการ์ตา ที่แสดงยอดเงินหลายล้านล้านรูเปียห์
จากนั้นในปี 2557 ก็มีสัญญาณความไม่ชอบมาพากล เมื่ออับดุล กานี ประธานมูลนิธิของดิมัส ได้ไปหาไฟซอลและบอกว่ามีเรื่องจะบอก... ไฟซอลคิดว่า "ถ้าให้ผมเดา ดูเหมือนเขามีบางอย่างที่อยากระบาย แต่ดูเเขาลังเล" ...มีข่าวลือว่าอับดุลเป็นเพื่อนดิมัสตั้งแต่วัยรุ่น
ไฟซอลได้เริ่มตรวจสอบมูลนิธิ มีข่าวลือเกี่ยวกับเหตุการณ์แปลกๆ อย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ค่อยมีคนอยากแฉเพราะกลัวเรื่องความปลอดภัย แม้แต่อับดุลก็ไม่ยอมมาคุยกับเขาอีก แต่กลับพบว่าครอบครัวอับดุลได้ไปแจ้งความว่าเขาหายตัวไป ก่อนพบศพหลังจากนั้นในสภาพศีรษะถูกคลุมด้วยถุงพลาสติก และพันด้วยเทปกาวที่ปิดส่วนของใบหน้าเกือบหมด มือก็ถูกมัด ด้านหลังศีรษะมีรอยถูกทำร้าย
ก่อนที่ตำรวจจะบุกไปจับผู้ต้องสงสัยและหนึ่งในนี้เป็นหัวทีมรักษาความปลอดภัย ที่เเป็นสมาชิกหน่วยเฉพาะกิจของกองทัพอินโดนีเซีย (Kopassus) ด้วย แต่นอกจากอับดุลแล้ว อิสมาอิล ฮิดายาห์ ผู้ประสานงานมูลนิธิและเพื่อนของอับดุล ก็หายตัวไปด้วย และก็พบว่ามีชะตากรรมไม่ต่างจากอับดุล เพียงแต่ศพอยู่ในสภาพที่จำแทบไม่ได้
ในที่สุดตำรวจได้สนธิกำลังกับหน่วยเฉพาะกิจติดอาวุธหนักจากกองทัพราว 2,000 นาย เข้าจับกุมดิมัส เนื่องจากมีสาวกหลายพันคนที่ไปรวมตัวอยู่ที่มูลนิธิ ที่พร้อมยอมตายเพื่อดิมัส เหตุการณ์นี้เกิดเมื่อปี 2559 ส่วนตัวดิมัสไปแอบอยู่ด้านหลังมูนิธิ ในสนามกีฬา ขณะที่สาวกใช้ไม้ไผ่กับก่อนหินในการต้านทานไม่ให้ตำรวจเข้าไป แต่หลังจากยื้อกันอยู่ 2 ชั่วโมง ดิมัสก็ถูกรวบตัว
จากวันนั้นถึงวันนี้ ตำรวจไม่สามารถบอกได้ว่าดิมัสหลอกลวงเงินสาวกไปจำนวนเท่าไหร่ แต่เชื่อว่าจะมหาศาลหลายล้านล้านรูเปียห์ และจนถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเงินเหล่านี้อยู่ที่ไหนและเหยื่อมีจำนวนเท่าใด แต่เชื่อว่าจะมีตั้งแต่ระดับรากหญ้าจนถึงรัฐมนตรีและบุคคลในแวดวงธุรกิจและการเมือง และแม้สภาพที่ต้้งของมูลนิธิจะดูรกร้าง แต่ก็ยังมีสาวกราว 300 คน ที่ยังปักหลักรอการกลับไปของเขา
ภาพจาก เนชั่นทันโลก NTV World News
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Thainewsonline