เปิดตัวเลขที่ สหรัฐฯ ต้องจ่าย หลังสอย UFO ตกเหนือรัฐมิชิแกน

จากที่ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า สหรัฐอเมริกา สามารถยิงวัตถุต้องสงสัยจากน่านฟ้า รัฐมิชิแกน ได้ ทว่าไม่น่าเชื่อว่าวัตถุบินไม่สามารถระบุ (unidentified flying object) หรือ UFO สีเทาอมเงินที่ถูกยิงตกเหนือรัฐมิชิแกน จะทำให้สหรัฐฯ ต้องแลกด้วยขีปนาวุธมูลค่าหลายสิบล้านบาท เพราะพลาดเป้าทำให้ต้องยิงใหม่ 
 

 

 

โดยเครื่องบิน F-16 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ โจมตีพลาดเป้าหมายในความพยายามครั้งแรก ที่จะสอยสิ่งที่กระทรวงกลาโหมหรือเพนตากอน เรียกว่า "บอลลูนโลหะขนาดเล็กที่มีสัมภาระผูกติดอยู่ด้านล่าง" ด้วยขีปนาวุธ "Sidewinder AIM-9X" ขณะลอยอยู่เหนือทะเลสาบฮูรอน ทำให้ต้องยิงลูกที่ 2 ซึ่ง Fox News รายงานว่า ขีปนาวุธแต่ละลูกที่ใช้ในการโจมตีมีมูลค่าสูงถึง 400,000 ดอลลาร์ (ราว 13 ล้านบาท) 

 

เหตุที่ต้องยิงทิ้งก็เพราะมันลอยเข้าไปใกล้ "พื้นที่อ่อนไหวของสหรัฐฯ" ท่ามกลางความเห็นที่สวนทางกันระหว่างทำเนียบขาวกับเพนตากอน เพราะในขณะที่เพนตากอนไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่ว่า วัตถุบินอาจเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก (extraterrestrials) แต่ทำเนียบขาวกลับคลุมเครือ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไม่ยอมแถลงเรื่องนี้ โดยเฉพาะเรื่องที่สาธารณชนต้องการคำตอบว่า มันคือะไร? ใครส่งมาและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น?

 

ขณะที่ พวก ส.ส. กับ ส.ว. ก็มีคำถามมากมายเช่นกัน โดยเฉพาะ ส.ว.ที่ต้องได้รับการสรุปในระดับชั้นความลับเกี่ยวกับวัตถุต้องสงสัยนี้ เพื่อไขปริศนาว่าวัตถุลึกลับที่ลอยอยู่ในระดับสูงโดยปราศจากแรงขับเคลื่อนคืออะไร หลังจากถูกสอยร่วงไป 4 ลูก และมีเพียงลูกเดียวที่ถูกยิงตกนอกชายฝั่งรัฐเซาท์ แคโรไลนา ที่ชัดเจนว่าเป็นบอลลูนของจีน และล่าสุดพบว่ามีอุปกรณ์สอดแนมเก็บข่าวกรอง และเพนตากอนเรียกว่า " PRC surveillance balloon" 

อีก 3 ลูก ที่ถูกยิงตกที่อลาสกาเมื่อวันศุกร์, เหนือยูคอนของแคนาดาเมื่อวันเสาร์ และเหนือรัฐมิชิแกน เมื่อวันอาทิตย์ ยังระบุไม่ได้ว่าคืออะไร ทั้งยังต่างจากบอลลูนจีนอย่างสิ้นเชิง และต้องรอผลหลังจากเก็บกู้ได้เสียก่อน 

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ในบันทึกช่วยจำที่เพนตากอนส่งถึง ส.ส. และ ส.ว. ที่อาคารรัฐสภา (Capitol Hill) ระบุว่า วัตถุบินที่ถูกยิงตกเหนือรัฐอลาสกามีขนาดเท่ากับรถยนต์คันเล็ก และแตกต่างจากบอลลูนจีนที่ถูกยิงตกนอกชายฝั่งรัฐเซาท์ แคโรไลนา ที่มีขนาดใหญ่พอๆ กับรถบัสรับส่งนักเรียน 3 คันรวมกัน 

ภาพจากเฟซบุ๊ก JOE BIDEN

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Thainewsonline