- 04 ต.ค. 2560
ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th
จากกรณีพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมคณะปฏิบัติภารกิจระหว่างเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ โดยได้กล่าวกับ สภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (U.S. – ASEAN Business Council: USABC) และสภาหอการค้าสหรัฐอเมริกา (U.S. Chamber of Commerce) ในโอกาสเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำเมื่อคืนที่ผ่านมานั้น
ทั้งนี้พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า ไทยกับสหรัฐอเมริกา เป็นพันธมิตรกับไทย มีความสัมพันธ์ที่ดีกันมาอย่างยาวนานโดยในการพบกับ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น และประธานาธิบดีสหรัฐฯให้เกียรติ จริงใจกับตนเองเป็นอย่างมาก รู้สึกประทับใจและเปรียบเหมือนเป็นการพบเพื่อนใหม่ที่ดี
“การเข้ามาทำหน้าที่ ครั้งนี้ เพื่อแก้ปัญหา แก้ความขัดแย้ง แตกแยกเท่านั้น ไม่ได้มีการใช้อำนาจเพื่อละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือทำให้ ธุรกิจเสียหายมั่นใจ คนไทย 90 % ไม่เดือดร้อนกับการเข้ามาของตนเอง มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับความเดือดร้อน เพราะเป็นพวกที่ทำผิดกฎหมายเท่านั้น ส่วนสิ่งที่หลายๆ คนอยากเห็นคือเรื่องประชาธิปไตย ยืนยัน จะยังคงเดินหน้าตามโรดแมป และจะประกาศวันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในปีหน้าแน่นอน
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรี ได้พบปะกับภาคเอกชนไทย เพื่อรับฟังผลการหารือระหว่างภาคเอกชนไทยกับสภาหอการค้าสหรัฐฯ และแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็นเกี่ยวกับการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและสหรัฐฯ โดยได้กล่าวถึงภาพรวมการหารือกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า การหารือเป็นไปด้วยความราบรื่น ด้วยความเป็นมิตรที่ดีต่อกัน และยินดีสนับสนุนการดำเนินงานของภาคเอกชนทั้งสองประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการค้า และการลงทุน และจัดตั้งศูนย์ข้อมูล เช่นเดียวกับ ศูนย์ดำรงธรรม เพื่อให้ข้อมูล แนวทาง และทิศทางการค้าการลงทุนเป็นเอกภาพ พร้อมทั้ง สร้างความเข้าใจและการรับรู้เกี่ยวกับนโยบาย กฎระเบียบที่เอื้อต่อการลงทุนที่รัฐบาลได้ดำเนินการ รวมทั้ง มาตรการสนับสนุนการลงทุนให้กว้างขวาง ทั่วถึง และถูกต้องด้วย
อย่างไรก็ตามพลเอกประยุทธ์ ได้กล่าวย้ำว่า ภาคเอกชน เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกและสนับสนุน ดังนั้น หากมีข้อเสนอ หรือข้อติดขัด ขอให้แจ้ง รัฐบาลจะได้ดำเนินการเพื่อให้กลไกเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น ที่สำคัญ รัฐบาลได้ดำเนินการตามหลัก “สิทธิมนุษยชนในการประกอบธุรกิจ” โดยยึดแนวทาง “เคารพ คุ้มครอง และเยียวยา” เพื่อเป็นไปตามแนวทางของสหประชาชาติ