- 26 ก.พ. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
เละเป็นโจ๊ก?! ชาวเน็ตตอกหน้า "น.อ. อนุดิษฐ์ นาครทรรพ" สมาชิกพรรคเพื่อไทย และอดีต รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศฯ ยุครัฐบาลหนูปู หลังออกมาแถกแถว่า "นายใหญ่-หนูปู" ไม่ใช่นักโทษหนีคดี ผ่านบทความของสื่อสายเสื้อแดงสำนักหนึ่งเมื่อ 3 - 4 วันก่อน โดยอ้างเหตุที่ 2 อดีตนายกฯ ต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ เพราะถูกรัฐประหารเล่นงานอะไรทำนองนั้น โดยทันทีที่บทความดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตที่เกาะติดการเมืองมานานก็สวนกลับมาทันควันว่า "ถ้าคนทั้ง 2 กลับมาก็ติดคุกสถานเดียว อย่างนี้ไม่เรียกหนีคดี งั้นก็เรียกหนีคุกแล้วกัน...ท่าน ส.ส."
โดยรายละเอียดที่ น.อ.อนุดิษฐ์ ระบุไว้ใน คอลัมน์ "โดนไป บ่นไป" หนังสือพิมพ์โลกวันนี้ คือ
เริ่มเพี้ยนกันไปใหญ่กับกรณีการออกมาตีโพยตีพายให้รัฐบาลจัดการกับอดีตนายกรัฐมนตรี 2 ท่านของประเทศไทยที่ต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ต่างแดนเพราะการรัฐประหาร ส่วนข้ออ้างว่าเป็นนักโทษหนีคดียิ่งฟังไม่ขึ้น เพราะทุกประเทศต่างรู้ดีว่าความผิดที่ถูกตัดสินให้จำคุกมีสาเหตุมาจากการยึดอำนาจทั้งสิ้น
ดังนั้น ไม่ว่าทั้ง 2 ท่านจะเดินทางไปประเทศไหนก็ตาม จะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและสมเกียรติเสมอ แม้ทั้งสองจะไม่มีตำแหน่งแห่งหนใดๆเลย แต่ต่างชาติยังให้เกียรติในฐานะอดีตประมุขของฝ่ายบริหารที่ถูกเผด็จการทหารปล้นอำนาจไปอย่างไม่เป็นธรรม
ถ้าไม่เชื่อก็ไปดูสัญญาการส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่ประเทศไทยทำข้อตกลงเอาไว้ ถ้าเขาเห็นว่าเป็นนักโทษหนีคดีที่กระทำความผิดจริง ป่านนี้คงถูกส่งกลับมารับโทษเหมือนผู้กระทำความผิดคนอื่นๆ แล้ว แต่ที่ทุกท่านเห็นเป็นประจักษ์ต่อสายตามาโดยตลอดก็คือ ทั้ง 2 ท่านสามารถเดินทางไปไหนก็ได้อย่างเสรีทั่วโลก
เรื่องแบบนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในโลกโซเชียลมีเดีย เพราะคนระดับท่านผู้นำสูงสุดของประเทศออกมาทำท่า “มึงวาพาโวย” กล่าวหาว่าการเดินทางไปประเทศต่างๆของอดีตนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน “เป็นภัยต่อความมั่นคง” แต่ประชาชนทั่วไปกลับไม่เห็นด้วยเลยแม้แต่น้อย
ยกเว้นพวกลูกสมุนที่ได้ประโยชน์จากการรัฐประหาร พอหัวขยับปั๊บ พวกลิ่วล้อที่คอยแทะกระดูกอยู่รอบๆก็ออกมารับลูกกันใหญ่ แม้แต่ สนช. บางคนที่ควรมีหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียวเพื่อนำมาสื่อสารต่อสาธารณะให้ถูกต้อง กลับทำตัวเป็นพวกชอบโกหกปั้นน้ำเป็นตัว นำเรื่องเท็จที่ปราศจากข้อเท็จจริงไปเผยแพร่ต่อสื่อมวลชน โดยหวังว่าจะสร้างความขัดแย้งและความเกลียดชังในสังคมให้เพิ่มขึ้น
ผมเห็นการประดิษฐ์เรื่องราวในกรณีนี้ออกมาเป็นตุเป็นตะ โดยสร้างเรื่องกล่าวหาว่าอดีตนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ท่าน พยายามที่จะใช้กระบวนการ “โลกล้อมประเทศไทย” และส่งสัญญาณไปยังกลุ่มมวลชนให้เร่งเคลื่อนไหวขับไล่ “รัฐบาล คสช.” ในนาม “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง”
รวมทั้งให้ข้อมูลว่าอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์จะพำนักอยู่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์จะเดินทางไปเขตบริหารพิเศษฮ่องกง โดย “ใส่ไข่” ว่านายกฯปูพร้อมให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศในประเด็นถูกกระบวนการยุติธรรมกลั่นแกล้งทางการเมือง
เสกสรรปั้นแต่งกันตามอำเภอใจ เพราะคิดว่าคนไทยไม่ได้กินข้าว แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ การไปเยือนประเทศต่างๆไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น หรือฮ่องกง เป็นการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจและเยี่ยมเยียนมิตรสหายตามปรกติ การจินตนาการสร้างเรื่องออกมาแบบนี้จึงสะท้อนปัญญาและความคิดของลิ่วล้อเผด็จการได้อย่างชัดเจนว่าเป็นเพียงพวกที่ต้องการเห็นความขัดแย้งทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น
เพราะถ้าสังคมยังมีความขัดแย้ง คสช. ก็สามารถใช้เหตุผลดังกล่าวเพื่ออยู่ในอำนาจต่อเนื่องยาวนานมากขึ้น ดังนั้น พวกลิ่วล้อเหล่านี้ก็สามารถแสวงประโยชน์จากการดำรงอยู่ของ คสช. ได้อย่างยาวนานมากขึ้นเช่นกัน
ถือเป็นทฤษฎีสมคบคิดที่ฝ่ายเผด็จการทุกคนได้รับประโยชน์ โดยไม่ได้คำนึงถึงผลร้ายที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติและประชาชน แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์หลายท่านก็เชื่อว่าความพยายามในการส่งเสียงดังเห่าหอนเช่นนี้ก็เพื่ออนาคตทางการเมืองของตัวเองในการเข้ามาทำหน้าที่สมาชิกรัฐสภาแต่งตั้งทั้งในปัจจุบันและอนาคตต่อไป
การเมืองในระบอบประชาธิปไตยถือเป็นภัยคุกคามต่อคนเหล่านี้ เพราะถ้าอยากเป็นสมาชิกรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่าชาตินี้ ชาติหน้า หรือชาติไหน ก็คงไม่มีโอกาสเข้าไปนั่งในสภาอันทรงเกียรติอย่างแน่นอน เพราะผู้มีสิทธิเลือกตั้งเขารู้เช่นเห็นชาติ รู้ไส้รู้พุงคนประเภทนี้กันหมดแล้ว
สำหรับฝ่ายนิยมเผด็จการ อย่าว่าแต่เข้าไปนั่งในสภาเลย แค่ยืนเกาะรั้วสภาก็ไม่สมควรแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นคนเก่งคนดีจำนวนไม่น้อยที่ยืนกรานปฏิเสธไม่ขอร่วมสังฆกรรมกับคนเหล่านี้ ผมเชื่อว่านอกเหนือจากอำนาจปลายกระบอกปืนและกำลังจากกองทัพ สิ่งที่เหลืออยู่ในการบริหารประเทศมาเกือบ 4 ปีก็คือ “ความว่างเปล่า” ที่ไม่เหลือผลงานอะไรให้จับต้องได้เลย
ถ้าท่านเป็นเจ้าของธุรกิจและใช้เงินของครอบครัวในการบริหารงาน ท่านย่อมวางแผนงานกำหนดยุทธศาสตร์และการใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่า เพื่อให้ธุรกิจของท่านเติบโตมีกำไรและสามารถเดินหน้าแข่งขันกับคู่แข่งทางธุรกิจได้อย่างมั่นคง
แต่ถ้าบริหารกิจการที่ไม่ใช่ของท่านและไม่ได้ใช้จ่ายงบประมาณที่มาจากกระเป๋าของท่านเอง โอกาสที่จะทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่เพื่อความสำเร็จของธุรกิจในกิจการดังกล่าวจึงไม่สมเหตุผลและขาดแรงจูงใจ นอกจากจะเปลี่ยนสภาพจากเจ้าของกิจการมาเป็นลูกจ้างและได้รับผลประโยชน์ตอบแทนที่คุ้มค่าเช่นเงินเดือนหรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ เมื่อนั้นการบริหารงานจึงจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ผมเปรียบเทียบตรรกะการบริหารธุรกิจปรกติกับการบริหารราชการแผ่นดินของผู้มีอำนาจ ซึ่งมีที่มาแตกต่างกัน เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ “คิดตาม” เพราะถ้าท่านเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ท่านก็เหมือนกับเจ้าของธุรกิจที่ใช้เงินของท่านเองในการบริหารกิจการ
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนต้องใช้เงินทุกบาททุกสตางค์เพื่อบริหารประเทศอย่างคุ้มค่า เพราะงบประมาณมีที่มาจากเงินภาษีอากรของประชาชน ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องบริหารประเทศอย่างเต็มความสามารถ เพื่อสร้างประโยชน์สุขให้กับประชาชนที่ไว้วางใจเลือกให้เข้ามาทำหน้าที่
ต่างกับรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจที่ประชาชนไม่ได้เลือกให้เข้ามาทำหน้าที่ แต่เข้ามาทำหน้าที่ได้เพราะใช้กำลังเข้าบังคับข่มขืน ดังนั้น การบริหารประเทศจึงไม่มีอะไรที่ยึดโยงกับประชาชนที่เป็นเจ้าของงบประมาณแผ่นดินที่แท้จริง
เปรียบเสมือนผู้บริหารบริษัทที่ใช้เงินของคนอื่นมาทำธุรกิจและไม่จำเป็นต้องบริหารกิจการให้ได้ผลกำไรหรือมีประสิทธิภาพ เพราะเป็นการเข้ามาทำแค่ชั่วคราว โดยเจ้าของตัวจริงได้แต่มองตาปริบๆ
จึงไม่น่าแปลกใจที่ประเทศไทยถูก “แช่แข็ง” มาตั้งแต่รัฐประหาร กิจการบ้านเมืองโดยส่วนใหญ่ไม่เดินหน้า ซ้ำร้ายยังถอยหลังไปเรื่อยๆ ดัชนีคอร์รัปชันพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ จากลำดับที่ 78 ในปี 2558 ซึ่งถือว่าย่ำแย่แล้ว เพียงแค่ 2 ปี ดัชนีคอร์รัปชันของปี 2560 กลับ “ดิ่งนรก” ลงไปอยู่ลำดับที่ 101 จาก 168 ประเทศทั่วโลก น่าสังเวชจริงๆ
ยิ่งคิดว่ามีความพยายามที่จะยืดการเลือกตั้งออกไปอีกยิ่งรู้สึกวังเวงมากขึ้น ท่านผู้นำสูงสุด บริวารและลิ่วล้อทั้งหลายจะสำนึกหรือไม่ว่า ประชาชนทุกหมู่เหล่าเขาอยากเลือกตั้ง (จริงๆ) และมันก็ไม่เกี่ยวกับทักษิณ-ยิ่งลักษณ์เลยสักนิด
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่บทความดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตที่เกาะติดการเมืองมานานก็สวนกลับมาทันควันว่า "ถ้าคนทั้ง 2 กลับมาก็ติดคุกสถานเดียว อย่างนี้ไม่เรียกหนีคดี งั้นก็เรียกหนีคุกแล้วกัน...ท่าน ส.ส." และคำพูดทำนองนี้อีกมากพอสมควร