ลือให้แซ่ดจริงเท็จแค่ไหน? ยิ่งลักษณ์ นั่งปธ.ท่าเรือซัวเถา จะบริหารเจริญฮวบเหมือนนโยบายจำนำข้าว เจ๊งยับ 5 แสนล้าน หรือไม่? จับตาดู!

ลือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นนั่งตำแหน่งประธานท่าเรือซัวเถา จีน คาดเดาจะบริหารเจริญฮวบเหมือนนโยบายจำนำข้าวหรือไม่?

       กลายเป็นข่าว talk of town ข้ามประเทศกันเลยทีเดียว เมื่อ เพจเฟซบุ๊กดังกระบอกเสียงคนเสื้อแดง อย่าง "กรุงเทพ กรุงเทพ" ออกมาประกาศเชิดชู "นางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อดีตนายกฯ ปัจจุบันเป็นนักโทษหนีคดีไปอยู่แดนไกล ใจความว่า " CEO ยิ่งลักษณ์ แหล่งข่าวในจีนแจ้งว่า ประธาน ยิ่งลักษณ์ เธอไม่เพียง แต่มีประสบการณ์ทางการเมืองที่น่าตื่นตา แต่ยังทำหน้าที่เป็นผู้จัดการอาวุโสใน บริษัท หลายแห่ง เธอจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขารัฐศาสตร์ และปริญญาโทสาขารัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรัฐเคนตักกี้

 

CEO ยิ่งลักษณ์

 

ต่อมาเขาดำรงตำแหน่ง ประธาน บริษัท โทรคมนาคม ต่อมาเขาดำรงตำแหน่ง ประธาน บริษัท อสังหาริมทรัพย์ SC Asset เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2554 ได้รับเลือกจากสมัชชาแห่งชาติและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก ในประวัติศาสตร์ไทยอย่างเป็นทางการ แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่น่าจับตามองที่สุด ของการควบรวมกิจการครั้งนี้คือ ประธานยิ่งลักษณ์ เธอไม่เพียง แต่มีประสบการณ์ทางการเมืองที่น่าตื่นตา แต่ยังทำหน้าที่เป็นผู้จัดการอาวุโสใน บริษัท หลายแห่ง ( 当然,此次并购事件,最引人注目的则是董事长英拉。她不仅拥有耀眼的从政经历,而且也曾在多家企业担任高级管理人员。) #ได้ตำแหน่งเพราะความสามารถและประสบการณ์การทำงาน"

 

      จากนั้นทางเพจก็ได้โพสตข้อความต่อว่า ที่ทำงานท่าน ประธาน ยิ่งลักษณ์ "SICT" (Shantou International Container Terminals) พื้นของท่าเรือมี 425,000 ตารางเมตร ความยาวคือ 460 เมตร ซึ่งสามารถตอบสนองการปฏิบัติการของเรือคอนเทนเนอร์สองลำขนาด 25,000 ตัน มีลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ มีพื้นที่ 200,000 ตารางเมตรให้บริการจัดเก็บกล่องสินค้าอันตราย และตู้เย็นมาตรฐาน 300 ตู้ คลังสินค้ารับส่งแบบใหม่ ตั้งอยู่ในอาคารครอบคลุมพื้นที่ 4,200 ตารางเมตร มีการติดตั้งปั้นจั่นคอนเทนเนอร์ขั้นสูงสามตัว ที่ด้านหน้าของอาคาร

 

ซึ่งมีความสามารถในการยก 41 ตัน และ 25 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อชั่วโมง ที่ลานแห่งนี้ติดตั้งเครน สำหรับตั้งสิ่งของ 41 ตัน สำหรับการโหลดและขนถ่าย นอกจากนี้เทอร์มินัลยังมีอุปกรณ์เสริมหลายอย่าง เช่นรถเครนขนาด 50 ตัน รถเครนติดตั้งคอนเทนเนอร์ขนาด 40 ตัน ด้านหน้าตู้คอนเทนเนอร์เปล่า 8 ตัน รถยกคอนเทนเนอร์ขนาด 3 ตัน รถยก 3 ตันแบบเตี้ย


ต่อมาได้โพสต์ข้อความอีกครั้ง ใจความว่า "เรื่องท่านประธาน ยิ่งลักษณ์ สื่อจีนเกาะติด รู้ตั้งแต่มา บริษัท ท่าเรือ แล้ว คนจีน ตกใจ แปลกใจ และคุยเรื่องนี้กันมากมาย คำถามของชาวจีนคือ เห็นรายงานข่าวอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ กลายเป็นประธานของ บริษัท ท่าเรือ พวกเขารู้สึกว่า CCP นั้นทรงพลังจริง ๆ  (Chinese Communist Party  พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ) และสงสัยว่าทำไม ยิ่งลักษณ์และทักษิณ ถึงได้รับการสนับสนุน จาก พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน มากขนาดนี้ #ใครว่ะเสียค่าโง่ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ตั้งหลายหมื่นล้าน 5555555555555555 

 

ข้อความที่โพสต์

 


          อย่างไรก็ตาม เส้นทางการเป็นนายกของยิ่งลักษณ์ ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ เนื่องจากตัวเธอเอง มีคดีฉาวติดตัวและนั่นอาจะเป็นต้นเหตุที่เธอต้องระหกระเหินออกจากแผ่นดินเกิดก็ว่าได้  นั่นคือ "โครงการรับจำนำข้าว" ซึ่งเธอถูกสั่งจำคุก 5 ปีโดยไม่รอลงอาญา คดีนี้ถูกฟ้องในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตามกฎหมาย ป.ป.ช. กรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว สร้างความเสียหายแก่รัฐกว่า 5 แสนล้านบาท และเธอก็ไม่ได้มาฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งกำหนดนัดในวันที่ 25 ส.ค. 2560 โดยได้หลบหนีออกนอกประเทศตั้งแต่คืนวันที่ 23 ส.ค. 2560 ที่ผ่านมา  

 

น.ส.ยิ่งลักษณ์
 

สรุปเหตุผลพอสังเขปของคำพิพากษาศาลดังกล่าวในคดีนี้ แบ่งเป็น 3 ประเด็นคือ

1 .องค์กรอิสระ-หน่วยงานรัฐ เช่น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) เคยทำหนังสือแจ้งเตือน-เสนอแนะ-แก้ไขปัญหาความไม่ชอบมาพากลในโครงการ ทั้งการทุจริต และสร้างความเสียหายแก่งบประมาณชาติ

 

2. การอภิปรายไม่ไว้วางใจของอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และฝ่ายค้านหลายครั้ง โดยเฉพาะเงื่อนปมการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่เป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ จนเกิดขบวนการนำข้าวมาเวียนขายในประเทศ ทำชาติเสียหายนับหมื่นล้านบาท ท้ายสุดศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาแล้วเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2560 ที่ผ่านมาว่า การระบายข้าวจีทูจี 4 สัญญาแรก ทุจริตจริง และสั่งจำคุกผู้เกี่ยวข้องไป 15 ราย 

 

3. การปกปิดข้อมูลต่อสาธารณชนในการระบายข้าวจีทูจี และการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เกี่ยวกับกรณีนี้ ปรากฏให้เห็นน้อยมาก แต่เมื่อปรากฏออกมาก็มีลักษณะทำนองว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ รู้เรื่องการทำสัญญาจีทูจีดังกล่าวแล้ว เป็นต้น

  

 อย่างไรก็ดีการดำเนินคดีกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ครั้งนั้น เนื่องจากถูกกล่าวหาว่า กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งเป็นไปตามกลไกของรัฐธรรมนูญที่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แม้การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวจะทำตามนโยบาย แต่ในขั้นตอนการปฏิบัติไม่ได้ทำตามขั้นตอนของกฎหมาย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบทั้งหมด ดังนั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีอำนาจการไต่สวน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ 

 

     นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการทางการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีหน้าที่กำกับดูแลข้าราชการทุกกระทรวง และกรรมการ กขช. รวมถึงนโยบายที่เกี่ยวกับการจำนำข้าวทั้งหมด โครงการรับจำนำข้าว แบ่งออกเป็น 4 ส่วนดังนี้ 1.การตรวจสอบคุณสมบัติ และรับรองเกษตรกร 2.การนำข้าวเปลือกมาจำนำ และเก็บข้าวเปลือกในคลัง 3.การสีแปร และเก็บรักษาสภาพข้าวสาร 4.การระบายข้าว 

 

พฤติการณ์จากทางไต่สวนพบว่า มีปัญหา และมีการทุจริตในทุกขั้นตอนตั้งแต่ 1-4 แต่เงื่อนปมสำคัญอยู่ที่ขั้นตอนที่ 4 คือ การระบายข้าว ที่แบ่งเป็น 2 วิธีการ ได้แก่

1.กรณีจำหน่ายข้าวถุงราคาถูกให้แก่ประชาชน (ปัจจุบันอยู่ระหว่างการไต่สวนในชั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช.) กรณีนี้มีการกล่าวหาว่า ไม่ได้มีการจ้างเอกชนปรับปรุงข้าวเพื่อบรรจุถุงจำหน่ายแก่ประชาชนจริง แต่ปรากฏพฤติการณ์ว่า มีการซื้อข้าวราคาถูกจากองค์การคลังสินค้า (อคส.) เพื่อนำไปขายต่อให้กับโรงสี-เอกชน ที่เป็นบริษัทเก่าของ พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ (จำเลยที่ 3 คดีระบายข้าวจีทูจีโดยทุจริต ปัจจุบันหลบหนี)

 

 และกรณีนี้ถูกอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาด้วย กระทั่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับทราบ และสั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเข้มงวด กระทั่งต่อมาในยุคที่นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล เป็น รมว.พาณิชย์ และเป็นประธานอนุกรรมการระบายข้าว ได้สั่งยกเลิก และเรียกคืนข้าวถุงทั้งหมด 

 

2.กรณีระบายข้าวแบบจีทูจี ประเด็นนี้มีการกล่าวหาว่า นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ กับพวกรวม 28 ราย ทุจริตการระบายข้าวจีทูจี ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2560 ที่ผ่านมาแล้ว ข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนรับฟังเป็นที่ยุติว่า ระหว่างการทำสัญญาจีทูจีฉบับที่ 1-4 มีการนำเสนอรายงานต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะประธาน กขช. ทราบเพียงรายเดียว โดยไม่นำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ กขช. เพื่อเปิดให้แสดงความเห็นอย่างหลากหลาย ขณะเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังเข้าประชุม กขช. แค่ 1 ครั้ง จากทั้งหมด 23 ครั้งด้วย แสดงให้เห็นถึงความมีประสิทธิภาพในการกำกับดูแลนโยบายจำนำข้าว และการระบายข้าวจีทูจี

 

จำนำข้าว


นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนเกี่ยวกับการทำสัญญาขายข้าวจีทูจี โดยตอบคำถามนักข่าวที่ถามว่า เคยเห็นสัญญาซื้อขายข้าวจีทูจีหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอบว่า “เคยเห็นค่ะ เป็น MOU” ต่อมานายบุญทรง ที่ยืนอยู่ด้านหลังได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า “เป็น Sale Contract ครับ ไม่ใช่ MOU” และในขณะเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังเป็นผู้อนุมัติการแต่งตั้ง พ.ต.นพ.วีระวุฒิ ไปดำรงตำแหน่งในอนุกรรมการระบายข้าว และอนุกรรมการในโครงการรับจำนำข้าวอีกหลายชุด (ตามข้อเท็จจริง พ.ต.นพ.วีระวุฒิ คือคีย์แมนสำคัญคดีระบายข้าวจีทูจีโดยทุจริต และหลบหนีคดีไปแล้ว)

 

 ทั้งนี้ ในช่วงเวลาเดียวกัน อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กรณีระบายข้าวแบบจีทูจีโดยทุจริต แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับไม่ดำเนินการสั่งตรวจสอบอย่างจริงจัง หรือเข้มข้นเหมือนตอนตรวจสอบกรณีจำหน่ายข้าวถุงราคาถูกแก่ประชาชน ทั้งที่ช่วงนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีอำนาจเต็มที่ในการสั่งตรวจสอบ หรือชะลอ หรือระงับการระบายข้าวจีทูจีได้ ด้วยเหตุผล-ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ข้างต้น จึงชี้ให้เห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จนถูกตัดสินจำคุก 5 ปี และมีมติเอกฉันท์ว่า ไม่รอลงอาญาด้วย

 

นี่คือเงื่อนปมสำคัญ นอกเหนือจากประเด็นเรื่องการแทรกแซงตลาดข้าว และการขาดทุนในโครงการดังกล่าวอย่างมโหฬาร รวมถึงการใช้งบประมาณเกินกรอบวงเงินที่ตั้งไว้ 5 แสนล้านบาท แต่รวม 5 ฤดูกาลผลิต ตั้งแต่ปี 2554/55-2555/56 พบว่า ใช้เงินไปกว่า 5.8 แสนล้านบาท (ตามการรายงานของกระทรวงการคลัง) ซึ่งเกินกว่ากรอบวงเงินไปหลายหมื่นล้านบาทแล้ว .. 

 

    ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว สะท้อนให้เห็นด้วยว่าเรื่องข้าวของไทยไม่เพียงแต่เป็นสินค้าเศรษฐกิจที่สำคัญ ยังสามารถกำหนดความเป็นความตายของนักการเมืองผู้ดำเนินนโยบายนี้ได้อีกด้วย นโยบายเรื่องข้าวถูกใช้มาทุกยุคทุกสมัยทั้งในด้านหาการเสียงสนับสนุนสำหรับผู้เป็นรัฐบาล และเป็นเครื่องมือโค่นฝ่ายตรงข้ามให้หมดหนทางการเมืองไปก็หลายครั้ง นอกจากนี้ก็ยังมีความจริงอีกด้านหนึ่งก็คือ ในฐานะผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก นโยบายข้าวของรัฐบาลไทยไม่ได้ส่งผลสะเทือนแค่ทางเศรษฐกิจการเมืองในประเทศ หากแต่ส่งผลต่อตลาดข้าวโลกอย่างลึกซึ้งด้วย 

 

    ล่าสุดมีการตั้งข้อสังเกตถึงกรณีที่เพจเฟซบุ๊ก"กรุงเทพ กรุงเทพ" ป่าวประกาศเรื่อง "ประธานยิ่งลักษณ์" เมื่อ "นายไพศาล พืชมงคล" ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก "Paisal Puechmongkol" แสดงความคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าว ว่า "ชื่อท่าเรือซัวเถา แสดงว่า บริษัทนี้เกี่ยวข้องกับรัฐบาลท้องถิ่นของจีน เพราะบริษัทเอกชนไม่มีสิทธิ์ใช้ชื่อเมืองนำหน้าชื่อบริษัทตามระบบของจีน  การที่บุคคลต่างชาติ จะเป็นประธานบริษัทนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ โดยลําพังบริษัท! นัยยะสำคัญของเรื่องนี้จึงน่าคิดมากครับ ว่าอาจเป็นเรื่องส่งสัญญาณอะไรหรือไม่"


      อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากการจำนำข้าวที่ผ่านมาของเธอ บกพร่องในการบริหารระดับประเทศต่อหน้าที่จนก่อให้เกิด ความเสียหายที่ใหญ่โตมโหฬาร ทั้งนี้ต้องจับตามองกันต่อไปว่า "ประธานยิ่งลักษณ์" จากซัวเถา จะประสบความสำเร็จกับธุรกิจใหม่ของเธอเหมือนที่ทางเพจหรือชาวเสื้อแดง อวยไว้หรือไม่? หากเธอประสบความสำเร็จก็ถือว่าเก่งเลยทีเดียว แต่อย่าลืมว่า ถึงจะเก่งแคไหน ก็ยังไม่สามรถลบล้างความผิดที่เคยก่อไว้ ใช่หรือไม่?


     ปรากฏว่า หลังจากเว็บไซต์ www.thepaper.cn ของจีน รายงานข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บุคคลหลบหนีคำพิพากษาจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จำคุก 5 ปีจากคดีปล่อยทุจริตจำนำข้าว เข้าไปซื้อกิจการ บริษัทซัวเถาคอนเทนเนอร์เทอร์มินัล (Guangdong Shantou International Container Terminal) จำกัด ในเมืองซัวเถา  มณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน  เมื่อเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา

 

การตรวจสอบล่าสุดพบว่าเว็บไซต์ที่ว่านี้ได้ลบข่าวน.ส.ยิ่งลักษณ์ไปแล้ว โดยขึ้นข้อความหน้าจอว่า มีบางอย่างผิดพลาด! ไม่พบบทความ การตรวจสอบล่าสุดพบว่าเว็บไซต์ที่ว่านี้ได้ลบข่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปแล้ว โดยขึ้นข้อความหน้าจอว่า มีบางอย่างผิดพลาด! ไม่พบบทความ ข่าวที่สำนักข่าวนี้เสนอระบุว่า บริษัทซัวเถาคอนเทนเนอร์เทอร์มินัลก่อตั้งขึ้นในปี 2537 ด้วยทุนจดทะเบียน 88 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าร่วม 3พันล้านบาทไทย  ตามข้อมูลการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมและเชิงพาณิชย์แสดงให้เห็นว่า ผู้บริหารท่าเรือตู้คอนเทนเนอร์ Shantou ได้เปลี่ยนจาก Lin Daqi เป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์  เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ที่ผ่านมา ขณะที่ล่าสุดเฟซบุ๊ก กรุงเทพ กรุงเทพ อ้างว่าได้เบอร์ติดต่อที่ทำงาน ท่านประธาน SICT มาแล้ว แล้วได้เบอร์ แผนกต่างๆมาด้วย เบอร์ที่ทำงาน ท่านประธาน ยิ่งลักษณ์  ขึ้นต้นเหมือนกันหมด 0754-88939XXX

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เงิบทั้งก๊ก! ลิ่วล้อ "ชินวัตร" ปัดโต้พัลวัน ปม "ยิ่งลักษณ์" กระดอนพ้นตำแหน่ง CEO อ้าง "ครอบครัวอดีต ปธน. บุช" ซื้อกิจการ?
- บุญคุณใช้ไปหมดแล้ว" คำพูด​ "บุญทรง" ที่​ "ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์-เยาวภา" ต้องจำจนวันตาย

 


โฮมเพจ