- 24 ม.ค. 2562
ย้อนคดีฉาว - พฤติการณ์ 3 เกลอ เหตุยอมขอโทษ “ยิ่งลักษณ์” งานนี้ผลประโยชน์ตกที่ใคร?
กลายเป็นประเด็นร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้ง หากยังจำกันได้เมื่อช่วงปี 2555 กรณีพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 และ "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อดีตนายกฯ ฟ้อง "นายชวนนท์ อินทรโกมาลสุต" "นายศิริโชค โสภา" และ "นายเทพไท เสนพงศ์" ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และทีมโฆษกพรรคฯผู้ดำเนินรายการ "สายล่อฟ้า" ทางสถานี โทรทัศน์ดาวเทียมช่อง บลูสกาย มีเนื้อหาหมิ่นประมาทใส่ความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (ผู้เสียหาย) ซึ่งปรากฎข้อความว่า "เอาอยู่" มานำเสนอในรายการแล้วพูดประกอบว่า "ห้องนี้เอากันอยู่หรือแขกก็เอากันอยู่ อ๊ะๆๆๆๆ และปูโฟร์ซีซั่นส์ ปูว.5 ปูเอาอยู่ เยอะมากๆ นะฮะ คำกล่าวขานท่านนายกเนี่ย" ทำให้โจทก์เกิดความเสียหาย
กรณีดังกล่าวก็ยึดเยื้อกันไปมาพอสมควร จนกระทั่งล่าสุด วันที่ 24 มกราคม 62 ที่ห้องพิจารณา 911 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.630/2557 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 8 และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต, นายเทพไท เสนพงศ์ และนายศิริโชค โสภา อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นฯ, ดูหมิ่นเจ้าพนักงานฯ กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 10-15 ก.พ. 2555 จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการ "สายล่อฟ้า" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องบลูสกาย ร่วมกันใส่ร้าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผู้เสียหายขณะไปปฏิบัติภารกิจที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นทำนองว่า ประพฤติผิดจริยธรรม ซึ่งล้วนเป็นเท็จ ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง
คดีนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยทั้งสามกระทำผิดตามฟ้องจริง จึงพิพากษาให้จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 1ปี ปรับคนละ 5 หมื่นบาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี จำเลยยื่นอุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ฝ่ายโจทก์ยื่นฎีกา ขอไม่ให้ศาลรอการลงโทษ ส่วนจำเลยยื่นฎีกา ขอให้ศาลยกฟ้องด้วย อย่างไรก็ตาม ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ทั้งฝ่ายโจทก์ และฝ่ายจำเลยต่างไม่ติดใจเอาความ จึงยื่นคำร้องขอถอนฎีกาออกจากการพิจารณาของศาลฎีกา
วันนี้จำเลยทั้งสามเดินทางมาศาล .... ปรากฎว่า วันนี้ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสามถอนฎีกา เพราะคดีนี้ศาลฎีกาทำคำพิพากษาเสร็จสิ้นและส่งให้ศาลชั้นต้นพร้อมอ่านแล้ว ศาลฎีกาจึงอ่านคำพิพากษาทันที โดยพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ร่วมซึ่งเป็นแผ่นดีวีดีอัดรายการและคำถอดเทปแล้ว มีคำเช่นว่า "ปูเอาอยู่" โดยจำเลยอ้างว่าเป็นฉายาตั้งแต่ช่วงน้ำท่วมปี 2554 นั้น แต่เมื่อพิจารณาบริบทซึ่งเป็นคำสนทนาของจำเลยทั้งสามแล้ว เป็นการสื่อความหมายไปในทางชู้สาวว่าวันที่ 8 ก.พ. 2555 โจทก์ร่วมไม่เข้าประชุมสภา แต่ไปที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ด้วยภารกิจอะไร ซึ่งแม้โจทก์ร่วมจะเป็นบุคคลสาธารณะที่จำเลยทั้งสามที่เป็น ส.ส. จะตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่วิธีการที่จำเลยทั้งสามพูดในเชิงชู้สาวดังกล่าวเป็นการกระทำโดยมิชอบ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
ทั้งนี้ ต่อกรณีที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อเป็นการตอกย้ำให้กระจ่างมากขึ้น ต้องย้อนกลับไป เมื่อปี 2557 ตามคำฟ้องระบุว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 และ 15 กุมภาพันธ์ 2555 จำเลยร่วมกันจัดรายการ "สายล่อฟ้า" ออกอากาศผ่านดาวเทียมบลูสกาย มีเนื้อหาหมิ่นประมาทใส่ความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เสียหาย ทำนองว่าไม่เข้าร่วมภารกิจประชุมของรัฐสภา และน่าจะเดินทางไปกระทำภารกิจ ว.5 ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ทำให้โจทก์เกิดความเสียหาย
โดยศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามฟ้องจริง พิพากษาให้จำคุกจำเลยทั้งสาม คนละ 1 ปี ปรับคนละ 5 หมื่นบาท แต่จำเลยทั้งสามไม่เคยต้องโทษมาก่อน จึงให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ต่อมาจำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์ ภายหลังศาลอุทธรณ์ตัดสินว่า "น.ส.ยิ่งลักษณ์" โจทก์ร่วมมีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นบุคคลสาธารณะที่สามารถจะตรวจสอบได้ภายใต้กฎหมาย หากการตรวจสอบกระทำไปโดยไม่คำนึงถึงผลที่เกิดและเผยแพร่ไปยังสื่อมวลชน ย่อมทำให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหายและอาจส่งผลสร้างความเสียหายไปถึงกระบวนการยุติธรรมได้ โดยการจัดรายการของจำเลยทั้ง 3 มีการใช้ถ้อยคำที่มีความหมายพิเศษซึ่งจากหลักฐานที่โจทก์ร่วมนำสืบเห็นว่าถ้อยคำของจำเลยทั้ง 3 ทำให้คนทั่วไปเห็นว่าโจทก์กระทำการที่ไม่เหมาะสมทางเพศ...
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า คำฟ้องโจทก์เป็นการนำข้อความของจำเลยคนละช่วงในการจัดรายการมาปะปนกันและเป็นการคาดคะเนของโจทก์ร่วมเอง ศาลเห็นว่า การฟ้องโจทก์จำเป็นต้องนำข้อความในส่วนที่มีลักษณะหมิ่นประมาทโจทก์มายื่นฟ้อง ซึ่งการยื่นฟ้องดังกล่าวจึงไม่ได้เป็นการตัดต่อข้อความโดยศาลจะเป็นผู้พิจารณาข้อความทั้งหมดเหมือนการอ่านหนังสือหรือชมภาพยนตร์ทั้งเรื่อง ไม่ได้มีการพิจารณาเฉพาะข้อความบางท่อน ส่วนที่จำเลยอ้างว่าเป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตเพื่อให้โจทก์ร่วม ออกมาชี้แจงเหตุการณ์ที่ไปปฏิบัติภารกิจในวันดังกล่าวศาลมองว่าการกระทำของจำเลยไม่ได้เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตแต่ลักษณะการพูดเป็นการชี้นำในรายการ ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับที่จำเลยอ้าง
ขณะที่จำเลยอุทธรณ์อีกว่า หากมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงถึงการทำภารกิจของโจทก์ร่วมในวันเกิดเหตุดังกล่าวจะเป็นเหตุไม่ต้องรับโทษเนื่องจากเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะนั้น ศาลเห็นว่าจำเลยไม่ได้นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวในการต่อสู้คดี ที่จำเลยอุทธรณ์มานั้นยังรับฟังไม่ได้ ส่วนที่โจทก์ร่วมขอให้มีการลงโทษจำเลยโดยไม่รอการลงโทษนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวตัวโจทก์ร่วมเอง ก็ไม่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุให้กระจ่าง การกระทำจำเลยต้องการให้โจทก์ร่วมออกมาชี้แจงเรื่องภารกิจในวันดังกล่าว การกระทำจำเลยจึงเป็นเจตนาดีสมควรให้รอการลงโทษ
อย่างไรก็ตามหลังจากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้ว นอกจากนี้ นายศิริโชค โสภา อดีตส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์จดหมายเปิดผนึก ลงวันที่ 5 ต.ค. 2561 ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ใจความว่า ข้าพเจ้านายศิริโชค โสภากับพวกอีกสองคน รวมทั้งข้าพเจ้าด้วยเป็นสามคนเห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ว่า "ข้อความและการกระทำของพวกข้าพเจ้าดังกล่าว เป็นการหมิ่นประมาทนางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมาตรี และในฐานะส่วนตัวจริง ข้อความและป้ายดังกล่าวที่นำมาประกอบนั้นไม่ถูกต้อง และไม่ถูกต้อง และไม่เป็นความจริง
"บัดนี้ ข้าพเจ้ากับพวกรวมสามคนคือนายชวนนท์ อินทรโกมาลสุต จำเลยที่ 1 นายศิริโชค โสภา จำเลย ที่ 2 และนายเทพไท เสนพงษ์ จำเลยที่ 3 ได้สำนึกผิดแล้ว และขออภัยต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งนางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้ให้อภัยต่อข้าพเจ้า และได้ยื่นคำร้องขอถอนฎีกาให้กับข้าพเจ้ากับพวก ทำให้ข้าพเจ้ากับพวก ทำให้ข้าพเจ้ากับพวก หลุดพ้นจากคดีนี้ ข้าพเจ้ากับพวกทั้งสามคนขอขอบคุณ และถือโอกาสนี้แจ้งข่าวให้เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไป ในขณะเดียวกัน "น.ส.ยิ่งลักษณ์" ก็ส่งทนายไปยื่นถอนฎีกา บุคคลทั้ง 3 ที่จัดรายการสายล่าฟ้าแล้วเช่นกัน ซึ่งศาลได้นัดฟังคำสั่งในวันที่ศาลฎีกาอีกครั้ง 19 ตุลาคม 61
ทั้งนี้ มีรายงานว่า การเจรจาประสานงานนั้นเกิดขึ้นโดยฝ่ายผู้จัดรายการสายล่อฟ้าทั้ง 3 คนติดต่อไปทาง"นายวัฒนา เมืองสุข" แกนนำพรรคเพื่อไทย ก่อนที่นายวัฒนาจะส่งสารผ่านไปยัง"นายพานทองแท้" จากนั้นจึงมีการประสานไปยัง"นายทักษิณ" และ "น.ส.ยิ่งลักษณ์" อีกทอดหนึ่ง"
ในขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งมีการวิเคราะห์สาเหตุ 3 เกลอสายล่อฟ้าต้องยอม “เสียฟอร์ม” ซ้ำซาก เพราะศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้น ทั้ง “ชวนนท์-ศิริโชค-เทพไท” จะไม่สามารถลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส.ได้ เนื่องจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กำหนดลักษณะ “ต้องห้าม” ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. คือ การต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายศาล และเคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกโดยพ้นโทษมาไม่ถึง 5 ปีในวันเลือกตั้ง
เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ การถอนฎีกาของ "น.ส.ยิ่งลักษณ์" ส่งผลให้ "นายศิริโชค" "นายเทพไท" และ "นายชวนนท์" ไม่เพียงรอดโทษจำคุกคดีหมิ่นประมาท ยังรอดจากการถูก “ประหารชีวิต” ทางการเมือง เมื่อเทียบกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งถูกตัดสินจำคุกคดีหมิ่นประมาท "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรคต้นสังกัดของ 3 เกลอ สายล่อฟ้าถึง 2 คดี จนต้องเว้นวรรคการเมืองอย่างน้อย 10 ปี ถือว่ากรณี 3 เกลอ โชคดีอย่างน่าอัศจรรย์ ท่ามกลางบรรยากาศการเมือง ที่ทั้งพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ต่างต่อสู้แข่งขันกันดุเดือดมาตลอด
อย่างไรก้ตาม เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ที่ห้องพิจารณา 911 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.630/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 และ "น.ส.ยิ่งลักษณ์" เป็นโจทก์และโจทก์ร่วมยื่นฟ้อง นายชวนนท์ นายเทพไท และนายศิริโชค ในกรณีดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136, 326, 328 และ 332
โดยในวันนั้น ฝ่ายโจทก์ มีนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง และนายสมหมาย กู้ทรัพย์ ทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางมาศาล ส่วนฝ่ายจำเลยมี นายเทพไท และนายศิริโชค เดินทางมาศาล ส่วนนายชวนนท์ ไม่เดินทางมาศาล นายเทพไท กล่าวว่า ไม่ทราบสาเหตุที่นายชวนนท์ไม่เดินทางมาศาลเนื่องจากยังไม่สามารถติดต่อได้แต่คาดว่าวันนี้จะยังไม่มีการออกหมายจับเนื่องจากทราบว่านายชวนนท์ยังไม่ได้รับหมายเรียกให้เดินทางมาศาลแต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับศาลว่าจะว่าอย่างไร ส่วนนายสมหมาย กล่าวว่า วันนี้เป็นผู้รับมอบอำนาจโจทก์ร่วมเดินทางมายื่นคำร้องขอถอนฎีกา ซึ่งก่อนหน้านี้เรามีเงื่อนไขอยู่ 2 อย่างคือให้จำเลยยอมรับผิด และขอโทษกับการกระทำดังกล่าว ซึ่งก็ทราบว่านายศิริโชคมีการโพสต์ขอโทษลงในเฟซบุ๊กและตั้งค่าสาธารณะจึงเป็นที่มาของการยื่นถอนฎีกาในวันนี้
ทั้งนี้ นายนรวิชญ์ กล่าวว่า วันนี้เป็นการยื่นถอนฎีกาของโจทก์ร่วมที่ขอให้ลงโทษจำเลยสถานหนักและไม่รอการลงโทษ แต่เมื่อเรารับมอบอำนาจมายื่นถอนฟ้องในวันนี้เเล้ว จากนี้ ตามขั้นตอนศาลชั้นต้นก็จะต้องส่งคำร้องให้ศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณาและมีคำสั่งต่อไป ซึ่งการอ่านคำพิพากษาในวันนี้คงต้องเลื่อนออกไปก่อน ส่วนอัยการโจทก์นั้นไม่ได้ยื่นฎีกามาเราจึงไม่ต้องส่งคำร้องเรื่องการถอนฎีกาดังกล่าวไปให้ ฉะนั้นถ้าหากศาลฎีกาพิจารณาแล้วอนุญาตถอนฎีกาได้คดีก็จะจบที่จำเลยเคยต้องคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ที่ให้จำคุกคนละ 1 ปีแต่รอลงอาญาไว้ 2 ปี.
อย่างไรก็ตาม จากกรณีถอนฟ้องดังกล่าว เป็นคำถามที่ตามมาว่า "ทำไม น.ส.ยิ่งลักษณ์" ถึงยอมถอนฟ้อง? เป็นไปได้หรือไม่ว่า อาจจะเกี่ยวกับ กระแสข่าวลือในดีลลับที่ว่า " นายศิริโชค" มีความสนิทสนมกับ "นาย อภิสิทธิ์" เป็นพิเศษ เป็นที่รู้จักกันดีในฉายา "วอลล์เปเปอร์" เพราะในสมัย "นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เป็นนายกรัฐมนตรี เวลาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ก็จะปรากฎ"นาย ศิริโชค" อยู่ข้างกายทุกครั้ง ชนิดที่เรียกได้ว่า "มี อภิสิทธิ์ ที่ไหน มี ศิริโชค ที่นั่น"
0
และหากประติดประต่อเรื่องราวเข้าด้วยกัน เป็นไปได้หรือไม่ว่า "น.ส.ยิ่งลักษณ์" จะใช้ "นายศิริโชค" เป็นสะพาน ในการใช้ทอดระหว่าง"ฝ่ายทักษิณ" และ "ฝ่ายอภิสิทธิ์" ในดีลลับ จับมือกัน ต่อต้านรัฐบาลคสช. ใช่หรือไม่? เพราะว่าในห้วงช่วงเวลาเดียวกันนั้น มีกระแสข่าวจากพรรคเพื่อไทยระบุว่า” ตัวแทนระดับสูงของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ร่วมพูดคุยถึงโอกาสจับมือหลังเลือกตั้งสกัดรัฐบาลทหาร แม้จะไม่ลงตัวในทุกเงื่อนไข แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ" จะจริงหรือมั่วชัวร์หรือไม่? ต้องติดตามต่อไป ....