- 05 ก.พ. 2562
เมื่อฝุ่นละอองที่คละคลุ้งฟุ้งขจรในชั้นบรรยากาศกำลังเจือจางลง หากแต่ฝุ่นผงธุลีบนถนนการเมืองกำลังถูกทำให้ข้นคลั่กขมุกขมัวมากขึ้น ท่ามกลางสภาวะการณ์ที่ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังจะเข้าที่เข้าทาง ความชัดเจนเริ่มปรากฏ
เมื่อฝุ่นละอองที่คละคลุ้งฟุ้งขจรในชั้นบรรยากาศกำลังเจือจางลง หากแต่ฝุ่นผงธุลีบนถนนการเมืองกำลังถูกทำให้ข้นคลั่กขมุกขมัวมากขึ้น ท่ามกลางสภาวะการณ์ที่ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังจะเข้าที่เข้าทาง ความชัดเจนเริ่มปรากฏ การแข่งขันเชิงนโยบายของแต่ละพรรคเป็นไปอย่างเสมอหน้า เหล่าแกนนำต่างรุกรบโหมโรมรันชนิดขิงก็ราข่าก็แรง บางกลยุทธ์ก็ดูจะขาวสะอาดไร้มลทิน คงจะมีบ้างประปรายกับการเดินหมากที่สะทกสะท้อนถึงความสกปรกจากการสาดโคลนหวังให้ปรปักษ์แก่ตนต้องปราชัย
เป็นสัจธรรมของประชาคมโลกที่ถือมั่นว่า "ประชาธิปไตย" คือหลักการปกครองสากลที่นำมาซึ่งความศิวิไลซ์ ทำให้เหล่านักการเมืองหัวเสธ. การศึกษาสูงสมาทานนำมาอวดอ้างอย่างน่าศรัทธา พร้อมป้ายสีเสียจนเปรอะเปื้อนว่าใครก็ตามที่ไม่ใช่พลพรรคพวกตนเป็น "เผด็จการ" แต่ระบอบการอันซับซ้อนก็ยากเกินกว่าที่ประชาชนทุกผู้นามจะสามารถทำความเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งเพียงพอ ผลจึงกลายเป็นว่าต้องตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างไม่ประสา เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธว่าหลักประพฤติปฏิบัติของพรรคการเมืองบางพรรค มิได้เฉียดเข้าไปใกล้ "ประชาธิปไตย" ที่ตนนั้นอวดอ้างแม้แต่นิด
ประหนึ่งการดูแคลนว่าประชาชนเป็นกบในกะลาอย่างไม่น่าให้อภัย ในยุคโลกาภิวัฒน์ที่ข่าวสารกระทบต่อผัสสะได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส แต่ยังจำต้องใช้วิจารณญาณให้มาก ยิ่งเมื่อพบว่ามีสมาชิกพรรคการเมืองบางพรรคจงใจเปลี่ยนชื่อให้เป็นชื่อเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรีผู้มีสถานะเป็นนักโทษหลบหนีคดี "ทักษิณ" และ "ยิ่งลักษณ์" ผู้สมัคร ส.ส. พรรคเพื่อชาติทั้ง 7 คน ให้เหตุผลว่าเพื่อให้พี่น้องประชาชนจำได้ง่าย โดยที่ไม่ต้องปราดเปรื่องนักก็เลาๆได้ว่าเป็นการหวังผลทางการเมือง
แต่ก็ดูว่าจะเป็นความกระเสือกกระสนดิ้นรนมากแต่เกินพอดีหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของประชาชนต้องตัดสิน แม้จะไม่ผิดหลักกฏหมายแต่ก็นำมาซึ่งข้อถกเถียงในเรื่องของกาลเทศะ ขณะเดียวกันในพื้นที่ชุมชนโดยเฉพาะกรุงเทพฯ ก็ดูเหมือนจะละลานตาด้วยป้ายหาเสียงที่แต่ละพรรคต่างเร่งรุดกุลีกุจอแปะโป้งไว้ตามเสาไฟฟ้ารายทางฟุตบาท หรือจะกองแหมะไว้อย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมกีดขวางเส้นทางการสัญจร นำมาซึ่งเสียงก่นด่ากันให้ขรมถมเถถึงความไม่เหมาะไม่ควร
แต่ก็ยังไม่น่าสนใจเทียบเท่าป้ายสีส้มหราเด่นของพรรคอนาคตใหม่ ที่ทำเสมือนว่าทั้งพรรคมีแต่เพียงตัวหัวหน้าพรรคนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ด้วยเพราะไม่ปรากฏว่าป้ายหาเสียงส่วนใหญ่ของทางพรรคจะมีภาพของผู้สมัคร ส.ส. คนอื่นใดภายในพรรคให้เห็น ราวว่านายธนาธร จะผูกขาดเป็นตัวชูโรงแต่ถ่ายเดียว ต่างจากพวกจากหมู่ในพรรคอื่นๆ ที่คละไปด้วยภาพของผู้สมัคร ส.ส. มากหน้าหลายตาตามแต่ละเขตนั้นๆ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสองกรณีข้างต้น บ่งชี้ชัดถึงความถดถอยและย้อนแย้งในแง่ความเป็นประชาธิปไตยของทั้งพรรคเพื่อชาติ และพรรคอนาคตใหม่อย่างสิ้นเชิง
พฤติการณ์ที่ปรากฏนั้นคล้ายเป็นการให้ความสำคัญกับตัวบุคคลที่สามารถรวมศูนย์อำนาจ และยังสูงยิ่งด้วยอิทธิพลหรือมีคุณลักษณะอันโดดเด่นน่าเชื่อถือ ขณะเดียวกันก็ปรากฏมีความพยายามในการลดทอนบทบาทของสมาชิกอื่นภายในพรรค อันจะเห็นได้ว่าความเป็นปัจเจกภายในพรรคได้ถูกทำลายลงจนเกิดเป็นการครอบงำโดยบุคคลเพียงคนเดียว เหนืออื่นใดกับวิธีการยัดเยียดภาพลักษณ์ในอุดมคติเฉกโฆษณาชวนเชื่อ หวังป้ายยาให้ประชาชนคล้อยตาม ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้จึงคล้ายการปลุก "ลัทธิบูชาตัวบุคคล" อันเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่ให้ความสำคัญในแง่ของ สิทธิ เสมอภาคและเสรีภาพ
แม้ว่าระบอบการปกครองไทยจะมีลักษณะจำเพาะและความสามารถในการปรับตัวที่สูงยิ่ง เพื่อให้สอดรับกับบริทางการเมืองและสังคม หากการปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลงจากสิ่งหนึ่งไปสู่ความเจริญที่ดีกว่านั้นคือการ "วิวัฒน์" แต่สภาวะการณ์แบบลูกผีลูกคนของการเมืองไทยวันนี้ หรือในอนาคตไม่ช้าไม่นาน
เกิดมีประชาชนหูตามืดมัวขาดแล้วซึ่งวิจารณญาณริจะฝากผีฝากไข้กับ นักการเมืองจำพวกปากว่าตาขยิบ ผลบั้นปลายอำนาจก็ตกอยู่ในอุ้งมือคนผู้เดียว หาได้เป็นประชาธิปไตยอย่างที่อวดอ้าง..เห็นทีแทนที่จะ "วิวัฒน์" เกรงว่าจะชักนำพาการเมืองไทยสู่ความ "วิบัติ" เสียมากกว่า
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "พรรคอนาคตใหม่"กับความหวังฮุบ 8 ล้าน "คนรุ่นใหม่" ไม่ง่ายอย่างที่คิด ?