- 20 ก.พ. 2562
กลายเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างแรงสะเทือนเพียงพอที่จะกระตุ้นให้สังคมกลับมาตื่นตัวทางการเมืองในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งอีกครั้ง กับวาทะของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. หลังผู้สื่อข่าวปราดเข้าประชิดตัวเพื่อถามถึงกรณีมีพรรคการเมืองอาศัยความฉาบฉวยหยิบจับนโยบายที่ไม่ใช่เรื่องใหม่
กลายเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างแรงสะเทือนเพียงพอที่จะกระตุ้นให้สังคมกลับมาตื่นตัวทางการเมืองในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งอีกครั้ง กับวาทะของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. หลังผู้สื่อข่าวปราดเข้าประชิดตัวเพื่อถามถึงกรณีมีพรรคการเมืองอาศัยความฉาบฉวยหยิบจับนโยบายที่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็ไม่ตกเทรนด์เสียทีเดียวกับการนำเสนอในการปราศรัยว่าจะลดขนาดกองทัพเพื่อนำงบประมาณไปจุนเจือและพัฒนาสังคมและเศรษญกิจ ทำให้ ผบ.ทบ. จำต้องปรามด้วยวิธีเด็ดขาดและรุนแรงตามวิสัยทหารด้วยกล่าวอย่างรวบรัดชัดถ้อยว่า "ให้ไปฟังเพลงหนักแผ่นดิน ตอนนี้เพลงนี้กำลังฮิต" สั้นๆแต่ได้ใจความ ทำเอาหลายคนถึงกับร้อนๆหนาวๆไปตามกันโดยเฉพาะขั้วการเมืองปรปักษ์ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาต่อกองทัพและรัฐบาล
ทั้งหมดทั้งมวลต่อกรณีข้างต้นที่กล่าวมานั้น ชนวนเหตุเริ่มจากการปราศรัยของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย อาจเป็นเรื่องที่จำเจและซ้ำซากกับนโยบายที่เสมือนรินเหล้าเก่าใส่ขวดใหม่ หากไม่มีไฮไลท์บางช่วงบางตอนที่หล่นออกมาจากปากของคุณหญิงสุดารัตน์ ความว่า นโยบายพรรคมีแนวทางแก้ไขปัญหาคนตกงาน ด้วยการสนับสนุนคนรุ่นใหม่ในการเป็นเจ้าของธุรกิจเอง ด้วยการตั้งกองทุนสร้างเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่ หรือเถ้าแก่ใหม่ เพื่อสร้างให้คนรุ่นใหม่ได้เป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งอาจจะแบ่งเงินจากกระทรวงกลาโหม ประมาณปีละ 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะสร้างเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่ได้ถึงปีละ 20,000-30,000 คน ทั้งนี้ การตัดงบประมาณจากกลาโหมจะไม่กระทบกองทัพ และขอให้ทหารมาช่วยกันสร้างชาติด้วยกัน เนื่องจากคนยุคใหม่ ต้องการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
ถอดความจากคำปราศรัยดังกล่าวก็สะท้อนอย่างชัดเจนถึงความไม่เชื่อมั่นของคุณหญิงสุดารัตน์ที่มีต่อกองทัพ คล้ายเป็นความเข้าใจว่ารัฐบาล คสช มีการอัดฉีดงบประมาณกระทรวงกลาโหมสูงโดยใช่เหตุ ร่วมผสมโรงด้วยประชาชนปีกฝั่งที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ที่ออกมารับลูกประเคนคำถามบนโลกออนไลน์ว่าข้อเท็จจริงและคำตอบของคำครหาดังกล่าวว่าด้วยเรื่องเม็ดเงินมหาศาลนั้นถูกนำไปใช้อย่างเหมาะสมมากน้อยเพียงใด
เพียงชั่วข้ามคืนก็ปรากฏข้อมูลที่น่าสนใจ เพราะเมื่อตรวจสอบแล้วกลับพบว่ารัฐบาล คสช. ที่มีภาพลักษณ์ว่าเป็นรัฐบาลทหารมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับกองทัพ แต่กลับพบว่าคิดเป็น 7.6% ของงบประมาณรายจ่ายรวมทั้งหมดเท่านั้น ขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีการเพิ่มงบฯขึ้นไปถึง 8-9% จากข้อมูลทั้งหมดทำให้สรุปในเบื้องต้นได้ว่า แม้กระทรวงกลาโหมได้รับงบประมาณสูงขึ้นทุกปี แต่งบประมาณรายจ่ายของทุกปีก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน เช่นเดียวกับงบประมาณของกระทรวง กรม ต่างๆที่เพิ่มขึ้นไปตามสัดส่วนเดียวกันทั้งสิ้น
กระทั่งล่าสุดวันนี้ 20 ก.พ. 2562 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวต่อกรณีดังกล่าว ระบุว่าในห้วงก่อนการเลือกตั้ง ยังมีความกังวลและห่วงใยอยู่บ้าง ที่มีความพยายามหาเสียงจากประชาชนของบางพรรคการเมือง ที่ยังคงพฤติกรรมทางการเมืองแบบเดิมๆ สาดโคลนป้ายสี ให้ร้ายและยั่งยุกันไปมา โดยเฉพาะการแสดงภูมิปัญญาและวุฒิภาวะผู้นำที่ไม่สร้างสรรค์ หยิบยกบางประเด็นมาเชื่อมโยงโน้มน้าวเรียกคะแนนเสียงจากประชาชน ดึงสถาบันต่างๆเข้าไปเกี่ยวข้อง โดยไม่คำนึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น จะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
"โดยเฉพาะความพยายาลิดรอนเกียรติภูมิทหารและกองทัพ ซึ่งเป็นสถาบันหลักด้านความมั่นคงของประเทศและเป็นที่พึ่งของประชาชนในยามประเทศชาติเกิดปัญหา ทั้งด้านความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ การเผชิญกับภัยธรรมชาติและภัยจากน้ำมือมนุษย์ ปัญหาวิกฤติของรัฐบาลและประเทศชาติ หรือแม้กระทั่งปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ที่บานปลายนำมาซึ่งความอ่อนแอของกลไกของอำนาจรัฐ สถาบันหลักของชาติ และความแตกแยกของประชาชนภายในชาติ จึงอยากขอความร่วมมือ ร่วมกันทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ ใช้ความระมัดระวัง ไม่พยายามยั่วยุบิดเบือนให้เกิดความแตกแยกทางสังคม ดังเช่นบทเรียนที่มีร่วมกันในอดีต" โฆษกกลาโหม กล่าว
และทิ้งท้ายว่า กระทรวงกลาโหมขอยืนยันอีกครั้งว่า กองทัพ เป็นของประชาชน และเคารพการตัดสินของประชาชนในวิถีประชาธิปไตย และพร้อมรับฟังทุกความคิดเห็นที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ เพื่อพัฒนากองทัพและงานความมั่นคงให้สามารถรองรับสถานการณ์ภัยคุกคามในแต่ละห้วงระยะเวลา บนพื้นฐานของความเป็นไปได้ทางด้านงบประมาณ และอยู่ในเกณฑ์เสี่ยงของสภาพแวดล้อมภัยความมั่นคงของประเทศที่ยอมรับได้ ต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนในภาพรวม
หากทว่าคำถามที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในสังคมในโมงยามนี้ เห็นจะไม่พ้นว่า ทหารมีไว้ทำไม ในยุคสมัยที่ไม่ปรากฏพบสงครามเต็มรูปแบบหรือ มีความสุ่มเสี่ยงที่ความขัดแย้งระหว่างรัฐต่อรัฐจะอุบัติขึ้นในระดับที่ต้องใช้กำลังทางการทหารเข้าปะทะ หากจะมีเพียงแต่สงครามนอกแบบที่เป็นภัยคุกคามในพื้นที่เสี่ยงบริเวณปลายด้ามขวานเท่านั้น
จนหลายคนลืมตระหนักไปว่าท่ามกลางวิกฤตการณ์การเมืองไทยนับแต่ปี 2549 เป็นต้นมา สังคมไทยยืนอยู่บนเส้นแบ่งของความขัดแย้งและขับเคี่ยวกันไปมาทางเจตคติอันรุนแรง สถานภาพและบทบาทของกองทัพที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด กลับจำต้องตกกระไดพลอยโจนเข้ามายืนอยู่ตรงกลางเพื่อยุติความขัดแย้งอย่างเลี่ยงไม่ได้
แม้ว่าอย่างถึงที่สุดจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของกองทัพว่าเข้ามาพัวพันกับการเมืองภาคประชาชน แต่วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งก็ชวนให้ประหวั่นพรั่นพรึงว่าหากกองทัพยังคงวางเฉย มิได้ออกมาขจัดปัดเป่าทุกข์ เหตุนองเลือดอาจไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด ความตายเพียงเพราะแตกแยกทางความคิด ย่อมคืบคลานเข้าประชิดและแผ่ขยายวงกว้างเกินกว่าที่ใครหลากคนจะหยั่งถึง เมื่อเหตุการณ์การสลายการชุมนุมที่แยกคอกวัว เป็นบทเรียนอันสะท้อนให้เห็นถึงความเสียสละของทหารอาชีพ
พลันที่ความเชี่ยวกรากของอารมณ์โกรธแค้นปะทุขึ้นถึงขีดสุด สถานที่สำคัญหลายแห่งในพื้นที่กรุงเทพฯ กลายเป็นทะเลเพลิงด้วยน้ำมื้อของมวลชนที่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของเหล่าแกนนำเสื้อแดง สถานการณ์ความรุนแรงที่โรมรันกันไปมาระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. และเจ้าหน้าที่รัฐที่ได้รับคำสั่งให้นำความสงบกลับคืน ด้วยสันติวิธี หากปรากฏมี กลุ่มบุรุษนิรนามแต่งกายด้วยชุดดำเข้าสร้างสถานการณ์ความรุนแรงให้บานปลายยิ่งขึ้น ด้วยการกระหน่ำยิงตอบโต้กับทหาร
เมื่อความจำเป็นอย่างขีดสุดมาถึง กองทัพได้นำกำลังพลจากกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) กาญจนบุรี พร้อมด้วยกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) หรือ "บูรพาพยัคฆ์" มาเสริม หวังขอคืนพื้นที่ แต่นอกจากชายชุดดำ ฝ่ายเสื้อแดงก็มีทั้งทหารเก่าทหารแก่ที่กรำศึกเชี่ยวชาญในยุทธวิธีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน การปะทะกันดำเนินต่อไป ถึงแม้ว่ากองทัพจะมีกำลังเสริมจากกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) โดยเฉพาะรถสายพาน แต่ก็ไม่ประสงค์เคลื่อนย้ายเข้ามาอยู่ท่ามกลางสมรภูมิหากเป็นเพียงตรึงกำลังไว้ ด้วยเพราะเกรงว่าจะทำให้ประชาชนตื่นตระหนกมากขึ้น
ทันใดนั้นระเบิด M79 ก็ระดมยิงใส่ทหารแน่นอนว่าต้องการทำให้กำลังพลเสียขวัญ ด้วยหมายว่าจะพิฆาตนายทหารระดับผู้บังคับบัญชา แต่เป็นเดชะบุญที่ พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.พล.ร.2 รอ. ขาซ้ายแตกหักเพียง 3 ท่อน แต่ทางด้านพ.ท.เกรียงศักดิ์ นันทโพธิเดช ผบ.ร.12 พัน 2 รอ. ถูกสะเก็ดเอ็ม 79 ฝังในศีรษะเจาะสมอง แม้จะพ้นขีดอันตรายแต่ก็ไม่สามารถกลับมาเป็นอย่างเดิมได้อีก แต่ที่นำมาซึ่งความสลดคือเสธ.เปา พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสธ.พล.ร.2 รอ. กลับต้องจบชีวิตลงด้วยระเบิดที่กระดอนเข้ากลางวงประหนึ่งผีจับยัด ความสูญเสียครั้งนี้โดยเฉพาะฝ่ายทหารเรียกได้ว่ามากกว่าสมรภูมิรบครั้งใด ที่สำคัญคือเป็นนายทหารสัญญาบัตรระดับผู้บังคับบัญชาที่ต้องทิ้งลมหายใจสุดท้ายไว้ท่ามกลางสมรภูมิทางการเมือง
ทิ้งปริศนาว่าผู้ก่อเหตุอย่างอุกอาจนั้นเป็นฝ่ายใดและมีจุดประสงค์อันใด แต่ทุกอย่างก็คลี่คล้ายเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2557 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้ร่วมกันแถลงผลการจับกุม นายกิตติศักดิ์ หรือ อ้วน สุ่มศรี อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 4 หมู่ 2 ซอยรามอินทรา 36 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กทม. หมายจับศาลอาญา ที่ 1600/2557 ลง 10 ก.ย. 2557 นายปรีชา หรือ ไก่เตี้ย อยู่เย็น อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 109 หมู่ 9 ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ หมายจับศาลอาญา ที่ 1603/2557 ลง 10 ก.ย. 2557 นายรณฤทธิ์ หรือ นะ สุริชา อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 10 หมู่ 3 ซอย ต.กลางใหญ่ อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี หมายจับศาลอาญา ที่ 1604/2557 ลง 10 ก.ย. 2557 นายชำนาญ หรือ เล็ก ภาคีฉาย อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 14/126 หมู่ 6 แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ หมายจับศาลอาญา ที่ 1605/2557 ลง 10 ก.ย. 2557 และ นางปุณิกา หรือ อร อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 702/155 ซอยพหลโยธิน 32 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ หมายจับศาลอาญา ที่ 1606/2557 ลง 10 ก.ย. 2557 ซึ่งทั้งหมดเป็นขบวนการชายชุดดำที่ใช้อาวุธสงครามยิงใส่เจ้าหน้าที่ทหารจากเหตุการณ์ความรุนแรงช่วงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อเดือน เม.ย. 2553 เป็นเหตุให้ พล.อ.ร่มเกล้า เสียชีวิต
ชี้ชัดมากขึ้นเมื่อ มีการขยายผลและพบว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุมีความเชื่อมโยงกับนักกิจกรรมเสื้อแดงรายหนึ่ง และยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดหาอาวุธสงครามให้กับผู้ต้องหาคดีใช้อาวุธสงครามยิงใส่สถานที่ต่างๆ โดยพบหลักฐานสลิปการโอนเงินจำนวนมาก อีกทั้ง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผบ.ตร. ในขณะนั้นเปิดเผยว่า "สำหรับสาเหตุนั้นเป็นลักษณะขบวนการมีหัวโจก มีอุดมการณ์ มีความเกลียดชัง มีค่าจ้างจึงได้ร่วมกันทำ"
และเมื่อสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพว่าได้ใช้อาวุธสงครามก่อเหตุจริง พร้อมเผยเพิ่มเติมว่าพวกตนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ต่างคนต่างมา มารู้จักกันเพราะมาร่วมทำกัน ไม่ได้เจาะจงยิงใครเป็นการเฉพาะ สำหรับวันเกิดเหตุโดยนายกิตติศักดิ์ใช้อาวุธปืนเอ็ม 79 และระเบิด เอ็มเค-2 นายธรรมรัตน์ ใช้อาวุธเอ็ม 79 นายธนเดช ใช้อาวุธปืน เอ็ม 203 นายวัฒนะโชค ใช้อาวุธปืนเอเค 47 นายปรีชาใช้อาวุธปืน เอเค 47 นายรณฤทธิ เฝ้ารถไม่มีอาวุธ นายชำนาญ ใช้อาวุธปืน เอ็ม 16 ส่วนนางปุณิกา ใช้ระเบิดเพลิง เอ็ม100
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหาว่า "ร่วมกันมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ที่นายทะเบียน ไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้, พกพาอาวุธปืนและวัตถุระเบิดไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือไม่มีเหตุอันสมควร" แม้ในวันนี้ผู้ก่อเหตุจะได้รับผลกรรมที่ก่อไว้ตามกระบวนการยุติธรรม แต่ความเสียสละของทหารกล้าผู้ปรารถนายุติความรุนแรงในห้วงวิกฤติการเมืองก็เป็นภาพสะท้อนของความเสียสละ ทั้งยังเป็นความกระจ่างต่อความฉงนอย่างไม่มีข้อกังขาว่า ท้ายทีสุดแล้ว...เรามีทหารไว้ทำไม
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "กรมประชาสัมพันธ์" หารือร่วม "กกต." จ่อไฟเขียว เปิดให้พรรคการเมืองหาเสียงผ่านโทรทัศน์
- พรรคการเมืองแห่หาเสียงวันหยุด เดินหน้าเร่งเครื่อง หวังโกยคะแนนกันเต็มที่!!!
- "กรุงเทพโพล" เผย "บิ๊กตู่" นำลิ่ว "เจ๊หน่อย" 12 ต่อ 8 ปปช.ส่วนใหญ่มองนโยบาย แต่ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคการเมือง