- 24 มี.ค. 2562
บทความพิเศษจาก ดร. สุวินัย ภรณวลัย และ ดร.เวทิน ชาติกุล ถึงเรื่องทำไมเราถึงเกลียดชังกันเพียงแค่เห็นต่าง
(บทความพิเศษ) : 'สุวินัย ภรณวลัย' และ 'ดร.เวทิน ชาติกุล'
2-3 ร้อยปีที่ผ่านมา มนุษย์พัฒนา "story" ที่วางอยู่บนฐานคิดแบบ "ตัวกูเป็นศูนย์กลางจักรวาล" หรือ ศัพท์หรูในแบบวิชาการว่า "มนุษยนิยม" ทุนนิยม, สังคมนิยม, ประชาธิปไตย,สิทธิ, เสรีภาพ, วิทยาศาสตร์, ศิลปะ,พหุนิยม, สตรีนิยม, ชุมชนนิยม ฯลฯ
ทั้งหมดนี้คือ "Story" ที่ถูกตอกย้ำ ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยเราถูกทำให้เชื่อในความคิดของการให้ความสำคัญกับ "ตัวตน" ของแต่ละปัจเจกบุคคลในฐานะเป็นผู้มีอำนาจในการเลือกหรือผู้ตัดสินใจต่อเรื่องใดๆก็ตาม ไม่ว่าจะเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องสังคมส่วนรวม
นี่คือฐานคิดแบบลิเบอรัล ที่กลายพันธุ์มาเป็นลิเบอร่านในสังคมไทยเพราะตัวตนของผู้นั้นขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์ และการให้เกียรติมนุษย์คนอื่นที่คิดต่าง ซึ่งเป็นการประจานความย้อนแย้งในตัวร่านผู้นั้น แต่ต่อให้ตัดความเป็นร่านออกไป ฐานคิดแบบลิเบอรัลก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดีเมื่อมันวางอยู่บนความคิดของความเสมอภาค ความเท่าเทียม ความเสมอเหมือน ของ "อำนาจ" ในการตัดสินใจของแต่ละคน
โดยยกความสำคัญของ "อำนาจของปัจเจก" อยู่เหนือ"อำนาจอื่นๆ" (The Others) ทั้งปวง เช่น สิ่งศักดิ์สิทธิ์, เทพเจ้า สถาบันหลัก ฯลฯ เพราะอำนาจอื่นๆทั้งหมดจะถูก "ถอดรื้อ" หรือถูกลดทอนลงเป็นอำนาจในการเลือกหรือเชื่อแบบหนึ่งตามจริตของปัจเจกหรือกลุ่มคณะเท่านั้น
ทุกๆที่ในโลกจะมี "อำนาจ" ย่อยๆแบบนี้เยอะแยะไปหมด แล้วจะเริ่มทะเลาะกันเอง แตกแยกกันเองไม่ว่าจะด้วยวิธีเลวๆแบบ "บูลลี่" หรือ วิธีเนียนๆแบบ "วิชาการ" โดยที่ไม่มีใครบอกได้แน่ๆว่า "มึงผิด กูถูก" ยกเว้นต่างคนก็ต่างเชื่อ ทางใครทางมันกันไป ถ้าสุดท้ายคุยกันไม่ได้ตกลงกันไม่รู้เรื่อง
"ผมก็ต้องตัดสินใจยึดอำนาจ" ซึ่งทำให้อธิบายได้ว่าทำไม "รัฐประหาร" มันถึงไม่ถูกเพราะเป็นการแทรกแซงอำนาจปัจเจกด้วยอำนาจอื่น แต่ในทางกลับกันการ "บูลลี่" ก็ถือว่าผิดเพราะเป็นการใข้ "อำนาจอื่น" คือพวกพ้อง, กฏหมู่ มากดขี่อำนาจของบุคคลอื่นๆ ต่อให้หลักการของฝ่ายที่บูลลี่จะดูถูกต้องกว่าอย่างประชาธิปไตยก็ตาม
"อำนาจ" ของปัจเจกนี่จึงประหนึ่ง "อำนาจศักดิ์สิทธิ์" ที่เข้ามาแทนที่ พระเจ้า, กฏจักรวาล, กฏแห่งกรรม, กฏฟ้าดิน, ผีสางเทวดา, พระบุตร, ผู้ไถ่บาป, ศาสดา, ธรรมราชา, ผู้เป็นเจ้า, ผู้ปกครอง, คณะเจ้า, คณะราษฏร์ ฯลฯ หรืออะไรก็ตามที่เป็น "อำนาจอื่น" อันเป็น "Story" อีกชุดที่มีมาก่อนหน้า
ก็ไม่ต้องแปลกใจที่ทำไม อาจารย์ปรีดี, คุณปิยะบุตร, คุณธนาธร, อาจารย์ชาญวิทย์, อาจารย์นิธิ, คุณสุชาติ ฯลฯ เอ่ยชื่อได้ไม่หมด จึงได้หัวปักหัวปำอยู่กับวาทกรรมต่อต้านทหาร ต่อต้านเผด็จการ แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะฐานคิดที่แท้จริงเป็นแบบนี้นี่เอง
แต่สิ่งที่คนกลุ่มนี้ทำไม่ถูก คือพยายามทำตัวประหนึ่ง "พระเจ้า" หรือ "ผู้ทรงธรรม" หรือเป็น เทพเจ้าองค์ใหม่เสียเอง และก่นด่า ประนาม เหยียดหยาม คนอื่นที่ยังเชื่อถือใน "อำนาจอื่น" อยู่ในบางระดับ โดยลืมไปว่าการเชื่อถือเช่นนั้นก็เป็นความสมัครใจที่จะใช้อำนาจปักเจกของตนไปเช่นนั้น ต่อให้ถูก "ครอบงำ" อย่างรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็เถอะ และอำนาจปัจเจกนั้นก็ควรได้รับความเคารพแบบเดียวกันกับอำนาจของปัจเจกอีกฝ่าย ไม่ต่างกัน มิใช่หรือ
เป็นที่น่าสังเกตว่า
1. การใช้อำนาจการตัดสินหรือเลือกของมนุษย์ไม่ได้ดำเนินไปด้วยเหตุผล แต่ดำเนินไปด้วย "อารมณ์"หรือ "จริต"ตนเองเป็นหลัก ภายใต้หน้ากากของเหตุผลที่ปกปิดเอาไว้เพื่อให้ตัวเองดูดีในสายตาคนอื่น
2. ฐานคิด "ตัวกู" เป็นศูนย์กลางจักรวาลนี้ เป็นเพียง "Story" แบบหนึ่งเพื่อยึดโยงมนุษย์ชาติให้อยู่ร่วมกันและเอาตัวรอดอย่างมึ "flexible-cooperation" (การร่วมมือกันอย่างยืดหยุ่น) ที่ทำให้มนุษย์สายพันธ์ เซเปียน ได้เปรียบเหนือสัตว์อื่นๆ
โศกนาฏกรรมของเซเปียนส์และโลกใบนี้คือ การทำลายสิ่งแวดล้อม สปีชีส์อื่น รวมทั้งทำลายกันเองผ่านสงครามต่างๆไม่หยุดหย่อน ซึ่งล้วนมีที่มาจาก ฐานคิด "ตัวกู" ที่ผลิตความเชื่อบ้าๆให้คนเราเกลียดกันเองเพราะคิดต่างเห็นต่างเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น "รัฐประหาร" หรือ "ประชาธิปไตย" ถ้าเราสามารถมองมันในมุมมองเชิงวิวัฒนาการเชิงสังคมแบบดาร์วินแล้ว
มันจะไม่มีอะไรที่ถูกหรือผิดกว่าอะไร ถ้า "Story" นั้นสามารถทำให้สังคมนั้นๆหรือสังคมมนุษยชาติโดยรวมอยู่รอดและประสบความสำเร็จในการดำรงชีวิตต่อไปอีกได้ สาระสำคัญอยู่ที่ "Story"ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยไม่จำเป็นต้องทะเลาะกัน ฆ่าแกงกันเพราะเชื่อ "Story" คนละชุด และตอนนี้ "Story" แบบมนุษยนิยม เรื่องอำนาจปัจเจกอันมี "ตัวกู"เป็นศูนย์กลาง กำลังถูกท้าทายและทำลายล้าง (หรือ โดน disrupt)
โดยการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่เพิ่งปรากฏมีขึ้นมาไม่ถึง 10 ปี ที่จะทำให้ Sapiens กำลังจะกลายเป็นมนุษยํสายพันธ์ุสุดท้ายในอนาคตอันใกล้ มีแต่ต้องสามารถดูจิต รู้ทันความคิดตัวเอง อย่างเป็นนายความคิดตัวเองได้ด้วยการตื่นรู้เท่านั้น เราจึงจะสามารถก้าวข้าม กับดักทางความคิดแบบลิเบอรัลที่เอา"ตัวกู" เป็นศูนย์กลางไปได้ ...
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- คิดแบบ "ธนาธร" เป็นภัยกับ "ระบอบประชาธิปไตย" บทความพิเศษ :: ดร.เวทิน ชาติกุล
- "ทักษิณ"เป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข??