- 11 เม.ย. 2562
สืบเนื่องจากกรณีที่โลกออนไลน์ได้มีการแชร์บทสัมภาษณ์ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กับทางเว็บไซต์ The Momentum เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2561
สืบเนื่องจากกรณีที่โลกออนไลน์ได้มีการแชร์บทสัมภาษณ์ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กับทางเว็บไซต์ The Momentum เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2561 ซึ่งเป็นวันก่อนจะมีการยื่นขอจดชื่อพรรคอนาคตใหม่เพียงไม่กี่วัน ถึงเบื้องหลังการก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่
โดยบางช่วงบางตอนของการสัมภาษณ์.. เมื่อถูกถามว่า พอไปอยู่ในองค์กรจริงๆ จะไม่มีปัญหาเรื่องระบบอาวุโสหรือ.. นายธนาธรกล่าวว่า “ผมยังนั่งคุยกับพวกเขาอยู่เลยว่า ถ้าพรรคของเราเกิดได้เมื่อไร ในพรรคของเราอยากให้เลิกใช้คำว่า พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา อยากให้เลิกใช้คำพวกนี้ให้หมด สร้างวัฒนธรรมใหม่ๆ อย่างที่ผมบอก อะไรก็ตามที่อยากให้เกิดก็ต้องทำในพรรคก่อน เราต้องการยกเลิกวัฒนธรรมอำนาจนิยมซึ่งกีดกันโอกาส กีดกันความคิดสร้างสรรค์ของคน เรียกคนอื่นเป็นพี่ ป้า น้า อาเมื่อไร
มันเป็นการเข้าไปอยู่โครงสร้างอำนาจนั้น เราจึงคิดว่า ใช้คำว่า คุณ ผม ดิฉัน สามคำเพียงพอแล้ว ให้เกียรติกันมากพอแล้ว ไม่มีพี่ ไม่มีท่าน คนทุกคนจะกล้าแสดงความคิดเห็น กล้าเป็นตัวของตัวเอง การจะไม่ยอมรับความคิดเห็นเพราะอายุ เพราะเพศสภาพ เพราะการศึกษา ตกไปเลย…not this party ต้องไม่ใช่ที่นี่ หรืออย่างน้อยที่สุด ตราบใดที่ผมยังอยู่ที่นี่ เราจะไม่ปฏิบัติต่อกันแบบนี้”
ที่น่าสนใจเพจดัง "ปราชญ์ สามสี" ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ได้อย่างน่าสนใจ ระบุว่า...
แนวคิดไม่เรียก พี่ป้า น้า อา ...ให้ ใช้ คุณ ผม ดิฉัน เรื่องพวกนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ ...
และมันก็สอดคล้องกับการพยายาม สนับสนุนให้คนไม่นับถือศาสนาและรุนแรงไปถึงการรังเกียจคนนับถือศาสนา เขาเรียกว่าคอมมิวนิสต์
แต่ คอมมิวนิสต์มีหลายระดับ ... มีตั้งแต่ระดับอ่อนๆ คือsocialist หรือสังคมนิยม ที่ ยังยอมรับในความแตกต่างของผู้คน มีพรรคฝ่ายค้านได้ ....เพราะมุ่งเน้นในเรื่องเศรษฐกิจฐานรากที่เน้นการกระจายรายได้(ด้วยอย่างสวีเดนที่ใช้แนวคิดสังคมนิยมผสานกับระบอบประชาธิปไตยในการบริหาร) จนไปถึงระดับตกขอบ แบบที่ขจัดฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ก็มี
เพราะฉะนั้น คอมมิวนิสต์ไม่ใช่ ระบอบที่ไม่ดีไปเสียหมด
แต่ความสุดโต่งคอมมิวนิสต์ ในบางยุคสมัย และการใช้แบบที่ตีความแบบไม่สนเสียงคนอื่นนั้นเป็นเรื่องอันตรายกว่ามาก
โดยเฉพาะ การพยายาม เปลี่ยนแปลง สังคมใน เรื่องภาษาและสถานะทางสังคมนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการปฎิวัติวัฒนธรรม ที่ลัทธิคอมมิวนิสต์เคยใช้
การบังคับไม่ให้เรียก ไม่เรียก พี่ป้า น้า อา ... มันมีลักษณะคล้ายพวกแนวคิด ตัดคำนำหน้า จาก นาย นาง ...ไปสู่ คำว่า "สหาย" .... มันไม่มีอายุ ไม่มีเพศ มีแต่ความเป็นพวกพ้องขบวนการเดียวกัน
ทั้งหมดนี้เป็นแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์สุดโต่ง แบบซ้ายตกขอบมากๆ ที่ต้องการเปลี่ยนสังคมเข้าสู่ สังคม อุสาหกรรมแรงงาน ที่ทุกคน มีค่าเท่ากัน ทำงานเหมือนกัน คิดเหมือนกัน ใครคิดต่าง ก็เอาไปประนาม และอาจจะรุนแรงถึงขั้นการสังหารหมู่
ดังนั้น ทุกๆคนจึงมีเครืองแบบเหมือนกัน สีเขียวเหมือนกัน ไม่แยกเพศชายหญิง ทุกคนแกร่งเท่ากัน ทำงานเหมือนกัน ใช้แรงงานเหมือนกัน
ในอดีตฝ่ายเสรีชน มอง ความแตกต่างของมนุษย์เป็น พรสวรรค์ที่ทำให้ มนุษย์เป็นมนุษย์ ความแตกต่าง เป็นเหมือนพรสวรรค์ที่ทำให้มนุษย์สามารถใช้ความโดดเด่นช่วยเหลือเกื้อกุลกัน
และรู้ไหม คนในยุคสมัยนึงเคยใช้แนวคิดคอมมิวนิสต์ แบบเข้าใจผิดๆ เอามาเคลื่อนไหว คอมมิวนิสแบบตกขอบ มองว่า ความแตกต่างของมนุษย์เป็น สิ่งที่ทำให้มนุษย์ทำงานผิดพลาด เป็นสิ่งที่ต้องขจัดทิ้ง
ไม่แปลกใจเลยว่า ในยุคสมัยนึง แนวคิดที่สุดขอบเช่นถึงทำชาติๆหนึ่งพังไม่เป็นท่า ... ตอนเป็นโซเวียต ...เลนิน สตาลินก็พลาดในเรื่องพวกนี้ ...ทำเอา โซเวียตแตกจากภายใน ... จากการตีความผิดๆ
คอมมิวนิสต์ มันกลายพันธ์ได้นะ
สมัย 6 ตุลาคม 2519 ..ก็มีเยาวชนถูกทำให้เชื่อเช่นนี้เหมือนกันถึง หนีเข้าป่าไปสร้างสังคมอุดมคติ ที่ คนไม่แบ่งเพศหญิงชาย ใช้แรงงานร่วมกัน ไม่นับถือศาสนา ไม่นับถือพ่อแม่พี่น้อง ไม่เชื่อเรื่องอาวุโส เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นสหาย ไม่มีนามสกุล
แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด ป่าแตก ไปเจอ คอมมิวนิสต์ ดาวแดง ดาวเขียว แล้วอยู่กันไม่ได้ กลับมา ทำงานในเมืองหลวง เป็นอาจารย์ เป็นนักเขียนแลกเงินจากนายทุน คอมมิวนิสบางคน ขายคำว่าเป็นนักปฎิวัติหากินในยูทูป ...เอาเงินมาปล่อยกู้ให้ลูกน้อง ก็มี
หลายคนเคยเป็นคอมมิวนิสต์สุโต่ง แต่พอวางปืนเป็นนักการเมือง ก็ร่ำรวยกันไปทำงานให้นายทุนนี่ไงครับ สุดท้ายอะไรๆ ที่มันสุดโต่งไม่มีอะไรดีทั้งนั้น ทางสายกลางที่ความความแตกต่างของผู้คนนั้นเป็นสิ่งที่สุดแล้ว
ปล. ภาพโปสเตอร์ต่อต้านคอมมิวนิสต์ ยุคปี พ.ศ. 2500 เป็นโปสเตอร์ สู้ลัทธิคอมมิวนิสต์ สุดโต่งสมัยนั้น แต่ออกจะพาดพิงจีนหน่อย
ปล2. ที่คุณ "Weratorn Narawerawuti" เข้ามาคอมเม้นว่า " น่าจะไม่ใช่ลัทธิคอมมูนิสต์โดยตรงแต่กลยุทธ์วิธีการมันคือส่วนหนึ่งของการก่อให้เกิดสงครามพันทางในปัจจุบัน (Hybrid war) ซึ่งสหรัฐอเมริกาและกลุ่มชาติยุโรปรวมทั้งซาอุดิอาระเบียปฏิบัติได้ผลมาแล้วในแถบตะวันออกกลาง มันไม่มีรูปแบบที่แน่นอนเพราะมันจะปรับเปลี่ยนไปตามบริบทของสถานการณ์ประเทศนั้นๆ เป้าประสงค์คือต้องการทำลายล้างศิลปะวัฒนธรรมรากเหง้าที่ดีงามของบรรพชนในชาตินั้นไม่ให้ยึดถือหรือดำรงต่อไป แต่จะสร้างสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นคือกฎระเบียบใหม่ที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตาม(New world Order) ศาสนาจะต้องถูกกำจัดออกไป การเคารพกราบไหว้ผู้ใหญ่จะต้องไม่เห็น จึงเล็งเห็นว่ากลยุทธ์ดังกล่าวหากนำมาใช้ในเมืองไทยซึ่งคนไทยยังมีสถาบันพระมหากษัตริย์จะเป็นการเหมาะสมมาก
ในอดีตประเทศจีนภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ก็ทำลักษณะเดียวกัน จนเมื่อไม่นานมานี้ปธน.สีจิ้นผิงเห็นความสำคัญว่าคนจีนรุ่นใหม่ไร้รากทั้งๆที่มีอารยธรรมโบราณมาช้านาน จึงประกาศดึงสิ่งนี้กลับมาพร้อมกับให้ความสำคัญต่อศาสนาพุทธอีกด้วย"
ข้าพเจ้า มองว่า สิ่งที่ คุณ "Weratorn Narawerawuti" หมายถึงคงหมายถึงปัจจุบัน ...ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ถือว่าใกล้เคียงมากๆครับ
สิ่งที่ประเทศเราเจออยู่ไม่ใช่ลัทธิคอมมูนิสต์โดยตรงเลยครับ แต่เป็นการหยิบยืม แนวคิดมาต่อสู้เท่านั้น เป็นนักรบแบบเปิดตำราไปสู้ไป แบบ(Hybrid war) นั้นแลครับ ... ต้นทุนของกลุ่มขบวนการเหล่านี้ สังเกตได้จากการก่อการของพวกเขาที่มี ประเทศบางประเทศหนุนหลังก็ชัดเจนครับ เพื่อทำรงไว้ซึ่งอำนาจที่พวกเขามีอยู่ในโลกใบนี้ ตามเรื่องราวของการ จัดระเบียบโลกใหม่ ที่เราไม่มีส่วนร่าง และแน่นอนว่า จีนและรัสเซียก็ไม่ได้ร่างเสียด้วยซ้ำ
จะบอกว่าสงครามปัจจุบันไปไกลกว่า แนวคิดเรื่องระบอบการปกครองกันแล้วครับ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- กต. แจงชัด "ธนาธร" ไม่พ้นศาลทหาร ยัน ดำเนินการเป็นธรรมทุกขั้นตอน!!
- "ครูหยุย" สอน "ธนาธร" พี่น้องลุงป้าคือการนับญาติในสังคมไทย-คิดกันเองอะไรควร ไม่ควร โตโตกันแล้ว
- เพจ "พี่คนดี" ซัดหมัดตรง "ธนาธร" ย้อนแย้ง ไม่อยากเกี่ยวดองเป็นน้องนุ่ง แต่จ้อ "พ่อก็รักฟ้า" ??