- 12 เม.ย. 2562
"เหวง" อ้าง "มาร์ค" สั่งทหารทำร้ายประชาชน ยังแถ..เสื้อแดงมือเปล่า ไร้ชายชุดดำ?? ฉายซ้ำเหตุการณ์เมื่อเวลาทำให้ความจริงเปิดเผย!!
วันที่ 12 เมษายน บนเฟซบุ๊ก 'นพ.เหวง โตจิราการ' ซึ่งเป็นของ 'นพ.เหวง โตจิราการ' แกนนำนปช. ได้โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการรำลึกเหตุการณ์เผาเมืองเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคมปี 2553 ว่า
"ประชาชนไม่มีอาวุธ ไม่มีกองกำลังติดอาวุธ ไม่มีกองกำลังชายชุดดำ รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้ทหารพร้อมอาวุธสงครามเข่นฆ่าประชานสองมือเปล่ากลางเมืองหลวงเมื่อเมษา-พฤษภาปี53 วีรชนประชาธิปไตยกำลังรอความยุติธรรมของพวกเขาครับ"
ทั้งนี้ จากที่สำนักข่าวทีนิวส์ได้นำเสนอข้อเท็จจริงไปก่อนหน้านี้บ้างแล้ว สำหรับเหตุการณ์วันมหาวิปโยค หรือ ที่เรียกกันว่า 'เมษาฯเลือด' เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 หากยังไม่เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน หรือ 'หมอเหวง' ยัง (แกล้ง) ไม่เข้าใจ วันนี้จะขอทบทวนและไล่เรียงเหตุการณ์กันอีกสักรอบ..เผื่อว่า 'หมอเหวง' จะทำความเข้าใจใหม่ และ ตาสว่างเสียที ...
อย่างไรก็ตาม ... หากย้อนกลับไปตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 10 เมษายน 53 ยังพบอีกด้วยว่าการออกปฏิบัติการของคนร้ายกลุ่มนี้ถูกวางแผนเตรียมการมาเป็นอย่างดี โดยคุณผู้ชมสามารถที่จะพิจารณาได้จากลำดับเหตุการณ์ในวันที่ 10 เมษา ดังนี้ ...
จนกระทั่งวันที่ 10 เมษายน 2553 เวลาประมาณ 12.30 น. นายขวัญชัย ไพรพณา ประธานชมรมคนรักอุดร หนึ่งในแกนนำนปช. ได้นำคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง บุกไปที่กองทัพภาคที่1 ซึ่งได้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างทหารกับกลุ่มคนเสื้อแดงอีกครั้ง จนสถานการณ์ได้มีความต่อเนื่องไปสู่การปะทะกันขึ้น
ซึ่งต่อมา ศอฉ.ได้ประกาศขอคืนพื้นที่การชุมนุมบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ โดยยืนยันว่าจะปฏิบัติการตามมาตรการ 7 ขั้นตอน และเจ้าหน้าที่ทหารจะใช้อาวุธปืนจริงเพื่อป้องกันตัวเท่านั้น สถานการณ์ตลอดช่วงกลางวันจนมาถึงช่วงเย็นก่อนพลบค่ำ ทหารใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยาง ผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมให้ออกจากพื้นที่ โดยการปะทะตลอดทั้งวันไม่ได้มีผู้เสียชีวิต หรือบาดเจ็บหนักแต่อย่างใด
แต่กลับเป็นการรายงานสถานการณ์ใน เว็บบอร์ดของเว็บไซด์พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ที่ต้องการสร้างความเข้าใจผิดให้กับสังคมว่าได้มีการใช้อาวุธปืนจริงมาจากทางฝั่งของทหาร โดยบุคคลที่ใช้ชื่อว่าเสธ.แดง รหัสอาชา โพสต์ กระทู้ไว้ในเวลา 16.13 น. ว่า
“ต้องขอบใจที่ทหารเริ่มยิงประชาชนด้วยเอ็ม16...เกมส์อาจจะเปลี่ยนด้วยประวัติศาสตร์...ของนักรบพระเจ้าตาก ที่ทนไม่ไหว ต้องเอากระบี่เสียบเอว...พวกมึงอยู่ไหนกันหมด ไปช่วยประชาชนด้วยโว๊ย ...บอกว่า..กูสั่ง??? ”
บุคคลที่ใช้ชื่อว่าเสธ.แดง รหัสอาชา พยายามโจมตีว่า ได้มีการยิงเอ็ม16จากฝั่งทหารเข้าใส่ประชาชน ทั้งที่ในช่วงนั้นปฏิบัติการขอคืนพื้นที่สะพานผ่านฟ้าเพิ่งเริ่มต้นขึ้นและภาพที่ปรากฎต่อสาธารณะก็คือการใช้กำลังทหารเข้าผลักดันมวลชน สลับการใช้กระสุนยางและแก๊สน้ำตาเพื่อลดแรงปะทะจากอีกฝ่าย
และตามหลักความจริงถ้ามีการยิง M 16 ในช่วงจังหวะดังกล่าวจริงๆ ก็ต้องมีการบาดเจ็บหรือล้มตายเกิดขึ้นในจุดการปะทะบริเวณถนนราชดำเนินไม่มากก็น้อย
ตรงกันข้าม กลับมีการยิงอาวุธปืนมาจากกลุ่มคนเสื้อแดงเข้าใส่เฮลิคอร์ปเตอร์ของทหารที่บินขึ้นไปโรยแก๊สน้ำตาเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม จนเจ้าหน้าที่ทหารถูกยิงได้รับบาดเจ็บอย่างที่เห็น
สถานการณ์การปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารกับกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 10เมษายน 2553 ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว จนกระทั่งในเวลาประมาณ 19.15 น. ได้เกิดการปะทะกันอย่างหนักหน่วงบริเวณ 4 แยกคอกวัว เป็นครั้งแรกที่สังคมไทยและทั่วโลก ได้ประจักษ์ถึงภาพของไอ้โม่งชุดดำที่แฝงตัวอยู่ทางฝั่งคนเสื้อแดง
กลุ่มของไอ้โม่งชุดดำออกปฏิบัติการใช้อาวุธสงครามอย่างชำนาญ ทั้งทางภาคพื้น และการซุ่มยิงจากระยะไกล หรือที่เรียกว่าสไนเปอร์ ซึ่งล้วนเป็นการยืนยันว่า กลุ่มของไอ้โม่งชุดดำเหล่านี้ ได้รับการฝึกฝนในระดับมืออาชีพ และก็เป็นทหารที่ประจำการอยู่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่ตกเป็นเป้าการโจมตีของกองกำลังติดอาวุธ นั่นจึงเท่ากับว่าทั้งทหารและกลุ่มผู้ชุมนุม ต่างตกเป็นเป้าหมายของกองกำลังติดอาวุธ ที่ต้องการยกระดับสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวายมากที่สุด
จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ณ เวลานั้น หากปล่อยให้กองกำลังติดอาวุธโจมตีคนเสื้อแดงและทหารต่อไป ความสูญเสียก็จะมากยิ่งขึ้น ทหารจึงมีความจำเป็นที่ต้องใช้อาวุธปืนจริงยิงตอบโต้กองกำลังติดอาวุธ เพื่อยับยั้งความสูญเสีย ซึ่งแน่นอนว่าการปฏิบัติการณ์ของทหารเป็นไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากกลุ่มกองกำลังติดอาวุธได้ใช้ร่างกายของผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงเป็นเกราะกำบัง
การใช้อาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ในคืนนั้นนอกจากจะทำไปเพื่อระงับความสูญเสียแล้ว อีกด้านหนึ่งก็เพื่อป้องปรามและป้องกันภยันต์ตรายที่ย่างกายเข้ามาสู่ตัว ... การยิงแล้วถอยของทหาร ซึ่งเป็นการยิงทีละนัด แล้วถอย เพื่อป้องปรามและป้องกันตัว เพราะถ้าเป็นการยิงเพื่อฆ่าหรือทำลาย จะต้องเป็นการยิงกราด หรือลั่นไกค้างเอาไว้
เหตุการณ์ปะทะในคืนมิคสัญญี 10 เมษา ส่งผลให้ทหารและกลุ่มคนเสื้อแดงเสียชีวิต 26 ศพ และบาดเจ็บอีกกว่า 800 ราย ทั้งนี้ความสูญเสียในคืนมิคสัญญี อาจมากมายมหาศาลกว่านี้หลายเท่าตัว หากระเบิดซีโฟร์น้ำหนัก 1.5 ปอนด์ ที่คนร้ายนำไปวางไว้ที่ ฐานของเสาส่งไฟฟ้าแรงสูง อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นเสาส่งไฟฟ้ามายังกรุงเทพมหานคร ระเบิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ และเสาไฟฟ้าโค่นล้มลง
ด้วยความต้องการของคนร้าย ที่จะให้กรุงเทพมหานครมืดดับสนิท ในเวลา 21.00น. หรือในระหว่างที่สถานการณ์บริเวณสี่แยกคอกวัวและอีกหลายจุดในกรุงเทพมหานคร กำลังโกลาหลอย่างถึงที่สุด
ทั้งนี้หากย้อนกลับไปตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 10 เมษายน 53 ยังพบอีกด้วยว่าการออกปฏิบัติการของคนร้ายกลุ่มนี้ถูกวางแผนเตรียมการมาเป็นอย่างดี โดยคุณผู้ชมสามารถที่จะพิจารณาได้จากลำดับเหตุการณ์ในวันที่ 10 เมษา ดังนี้ จนกระทั่งวันที่ 10 เมษายน 2553 เวลาประมาณ 12.30 น. นายขวัญชัย ไพรพณา ประธานชมรมคนรักอุดร หนึ่งในแกนนำนปช. ได้นำคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง บุกไปที่กองทัพภาคที่1 ซึ่งได้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างทหารกับกลุ่มคนเสื้อแดงอีกครั้ง จนสถานการณ์ได้มีความต่อเนื่องไปสู่การปะทะกันขึ้น
ซึ่งต่อมา ศอฉ.ได้ประกาศขอคืนพื้นที่การชุมนุมบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ โดยยืนยันว่าจะปฏิบัติการตามมาตรการ 7 ขั้นตอน และเจ้าหน้าที่ทหารจะใช้อาวุธปืนจริงเพื่อป้องกันตัวเท่านั้น
สถานการณ์ตลอดช่วงกลางวันจนมาถึงช่วงเย็นก่อนพลบค่ำ ทหารใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยาง ผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมให้ออกจากพื้นที่ โดยการปะทะตลอดทั้งวันไม่ได้มีผู้เสียชีวิต หรือบาดเจ็บหนักแต่อย่างใด แต่กลับเป็นการรายงานสถานการณ์ใน เว็บบอร์ดของเว็บไซด์พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ที่ต้องการสร้างความเข้าใจผิดให้กับสังคมว่าได้มีการใช้อาวุธปืนจริงมาจากทางฝั่งของทหาร โดยบุคคลที่ใช้ชื่อว่าเสธ.แดง รหัสอาชา โพสต์ กระทู้ไว้ในเวลา 16.13 น. ว่า
“ต้องขอบใจที่ทหารเริ่มยิงประชาชนด้วยเอ็ม16...เกมส์อาจจะเปลี่ยนด้วยประวัติศาสตร์...ของนักรบพระเจ้าตาก ที่ทนไม่ไหว ต้องเอากระบี่เสียบเอว...พวกมึงอยู่ไหนกันหมด ไปช่วยประชาชนด้วยโว๊ย ...บอกว่า..กูสั่ง??? ”
บุคคลที่ใช้ชื่อว่าเสธ.แดง รหัสอาชา พยายามโจมตีว่า ได้มีการยิงเอ็ม16จากฝั่งทหารเข้าใส่ประชาชน ทั้งที่ในช่วงนั้นปฏิบัติการขอคืนพื้นที่สะพานผ่านฟ้าเพิ่งเริ่มต้นขึ้นและภาพที่ปรากฎต่อสาธารณะก็คือการใช้กำลังทหารเข้าผลักดันมวลชน สลับการใช้กระสุนยางและแก๊สน้ำตาเพื่อลดแรงปะทะจากอีกฝ่าย
และตามหลักความจริงถ้ามีการยิง M 16 ในช่วงจังหวะดังกล่าวจริงๆ ก็ต้องมีการบาดเจ็บหรือล้มตายเกิดขึ้นในจุดการปะทะบริเวณถนนราชดำเนินไม่มากก็น้อย
ตรงกันข้าม กลับมีการยิงอาวุธปืนมาจากกลุ่มคนเสื้อแดงเข้าใส่เฮลิคอร์ปเตอร์ของทหารที่บินขึ้นไปโรยแก๊สน้ำตาเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม จนเจ้าหน้าที่ทหารถูกยิงได้รับบาดเจ็บอย่างที่เห็น
สถานการณ์การปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารกับกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 10เมษายน 2553 ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว จนกระทั่งในเวลาประมาณ 19.15 น. ได้เกิดการปะทะกันอย่างหนักหน่วงบริเวณ 4 แยกคอกวัว
เป็นครั้งแรกที่สังคมไทยและทั่วโลก ได้ประจักษ์ถึงภาพของไอ้โม่งชุดดำที่แฝงตัวอยู่ทางฝั่งคนเสื้อแดง กลุ่มของไอ้โม่งชุดดำออกปฏิบัติการใช้อาวุธสงครามอย่างชำนาญ ทั้งทางภาคพื้น และการซุ่มยิงจากระยะไกล หรือที่เรียกว่าสไนเปอร์ ซึ่งล้วนเป็นการยืนยันว่า กลุ่มของไอ้โม่งชุดดำเหล่านี้ ได้รับการฝึกฝนในระดับมืออาชีพ และก็เป็นทหารที่ประจำการอยู่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่ตกเป็นเป้าการโจมตีของกองกำลังติดอาวุธ
นั่นจึงเท่ากับว่าทั้งทหารและกลุ่มผู้ชุมนุม ต่างตกเป็นเป้าหมายของกองกำลังติดอาวุธ ที่ต้องการยกระดับสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวายมากที่สุด จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ณ เวลานั้น หากปล่อยให้กองกำลังติดอาวุธโจมตีคนเสื้อแดงและทหารต่อไป ความสูญเสียก็จะมากยิ่งขึ้น ทหารจึงมีความจำเป็นที่ต้องใช้อาวุธปืนจริงยิงตอบโต้กองกำลังติดอาวุธ เพื่อยับยั้งความสูญเสีย ซึ่งแน่นอนว่าการปฏิบัติการณ์ของทหารเป็นไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากกลุ่มกองกำลังติดอาวุธได้ใช้ร่างกายของผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงเป็นเกราะกำบัง
การใช้อาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ในคืนนั้นนอกจากจะทำไปเพื่อระงับความสูญเสียแล้ว อีกด้านหนึ่งก็เพื่อป้องปรามและป้องกันภยันต์ตรายที่ย่างกายเข้ามาสู่ตัว ... การยิงแล้วถอยของทหาร ซึ่งเป็นการยิงทีละนัด แล้วถอย เพื่อป้องปรามและป้องกันตัว เพราะถ้าเป็นการยิงเพื่อฆ่าหรือทำลาย จะต้องเป็นการยิงกราด หรือลั่นไกค้างเอาไว้
เหตุการณ์ปะทะในคืนมิคสัญญี 10 เมษา ส่งผลให้ทหารและกลุ่มคนเสื้อแดงเสียชีวิต 26 ศพ และบาดเจ็บอีกกว่า 800 ราย ทั้งนี้ความสูญเสียในคืนมิคสัญญี อาจมากมายมหาศาลกว่านี้หลายเท่าตัว หากระเบิดซีโฟร์น้ำหนัก 1.5 ปอนด์ ที่คนร้ายนำไปวางไว้ที่ ฐานของเสาส่งไฟฟ้าแรงสูง อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นเสาส่งไฟฟ้ามายังกรุงเทพมหานคร ระเบิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ และเสาไฟฟ้าโค่นล้มลง
และทั้งหมดนี้ก็คือข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ด้วยหลักฐานจริงของเหตุการณ์ในค่ำคืนวันที่10 เมษายน โดยผู้ที่ทรายถึงสถานการณ์ในค่ำคืนนั้นเป็นอย่างดีก็คือแกนนำนปช.โดยเฉพาะ นายวิสา คันทัพ ที่ทราบถึงตวามผิดปกติตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 10 เมษายนก่อนที่จะมีเหตุการณ์ปะทะเกิดขึ้น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เหวงท่องจำเผาเมืองๆเสื้อแดงไร้อาวุธ ไม่มีชายชุดดำ! ทั้งที่ตำรวจจับได้สารภาพสิ้นหมดแล้ว
- "หมอเหวง"โพสต์บทประพันธ์ ฟ้ามืด ฟ้าใหม่ พร้อมเพลงรุ่งอรุณในฝัน หลังทษช.มิบังควรเสนอแคนดิเดทนายกฯ