- 02 พ.ค. 2562
เป็นปี่เป็นขลุ่ย!! "เหวง" ชูป้ายไฟ เชียร์ "ธนาธร" เอาคืนปมหุ้นสื่อ ลั่น อย่า 2 มาตรฐาน!!
สืบเนื่องจากกรณีวานนี้ (1 พฤษภาฯ) เพจเฟซบุ๊ก “Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ มีการโพสต์ข้อความเกี่ยวกับกรณีว่าที่ ส.ส.ถูกร้องถือหุ้นสื่อ ว่า ไม่ควรมีนักการเมืองคนใดถูกตัดสิทธิ์เพราะถือหุ้นในบริษัทที่ไม่ได้ผลิตสื่อจริงๆ มีว่าที่ ส.ส. จากพรรคพลังประชารัฐ, ประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย สามคนเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่มีวัตถุประสงค์ผลิตสื่อ ซึ่งอาจทำให้ทั้งสามท่านขาดคุณสมบัติการเป็นผู้สมัคร ส.ส.
ก่อนการเลือกตั้ง นายภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้สมัคร ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ จังหวัดสกลนคร เขต 2 ถูกตัดสิทธิ์เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนว่านายภูเบศวร์ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ หจก. มาร์ส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส และหนึ่งในวัตถุประสงค์ของบริษัทนี้คือการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ ทั้งๆที่ตัวบริษัทจริงทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างทั่วไป
ในเขตเลือกตั้งสกลนครเขต 2 มีบัตรเสียสูงถึง 10,200 ใบ ซึ่งอนุมานได้ว่าส่วนที่เกินจากค่าเฉลี่ยบัตรเสียในเขตอื่นทั่วประเทศ คือคะแนนที่ผู้ที่ไม่ทราบว่านายภูเบศวร์ถูกตัดสิทธิ์มอบให้พรรคอนาคตใหม่ ทำให้บัตรที่กาพรรคอนาคตใหม่ถือเป็นบัตรเสีย
พรรคอนาคตใหม่ได้รวบรวมข้อมูลว่าที่ ส.ส. และผู้สมัคร ส.ส. จากหลายพรรคการเมืองที่ถือหุ้นในบริษัทที่ระบุถึงการผลิตสื่อไว้ในวัตถุประสงค์ ถึงแม้ว่าตัวบริษัทจะทำธุรกิจประเภทอื่นและไม่ได้ผลิตสื่อจริงๆ ได้มาก
1. กรณีนายณัฐพล ทีปสุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ 2. กรณีนายสาธิต ปิตุเตชะ จากพรรคประชาธิปัตย์ 3. กรณีนายพิบูลย์ รัชกิจประการ จากพรรคภูมิใจไทย
เราไม่สามารถรู้ได้ว่าจนถึงวันสมัคร ส.ส. ทั้งสามท่านขายหุ้นหรือบริษัทยกเลิกกิจการไปแล้วหรือยัง หากยัง ทั้งสามท่านจะเข้าข่ายกรณีเดียวกันกับนายภูเบศวร์ ที่ถูกศาลฎีกาตัดสิทธิ์ และถ้าเป็น ส.ส. เขต คะแนนจะถูกนับเป็นบัตรเสียด้วย หรือหากจัดการแล้วทั้งสามท่านอาจต้องชี้แจงอย่างที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถูกตรวจสอบ ว่าขายหุ้นจริงหรือไม่, โอนเงินหรือยัง, นำแสดงหลักฐานที่อยู่ได้หรือไม่, เปิดเผยหลักฐานการจ่ายเงินได้หรือไม่ เป็นต้น
เจตนาของการห้ามผู้สมัคร ส.ส. ถือหุ้นในกิจการสื่อคือความกังวลว่า หากมีผู้สมัครที่สามารถควบคุมสื่อได้ จะได้เปรียบในการรณรงค์หาเสียงต่อผู้แข่งขันรายอื่น อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการทั่วไปเมื่อจดทะเบียนธุรกิจใหม่ มักใช้แบบฟอร์มแจ้งวัตถุประสงค์บริษัทแบบมาตรฐานทั่วไป ซึ่งมักจะระบุวัตถุประสงค์กว้างๆ ไว้ รวมถึงธุรกิจสื่อลงไปด้วยเสมอ เพื่อว่าหากวันหน้าธุรกิจจะขยายหรือเปลี่ยนแปลงจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาแก้วัตถุประสงค์กับหน่วยงานราชการ
กว่าสามสิบคนและกำลังสืบค้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรานำสามท่านจากสามพรรคการเมืองมาเป็นตัวอย่างในที่นี้ ดังนี้
ผมเห็นว่า การตัดคุณสมบัติว่าที่ ส.ส. และผู้สมัคร ส.ส. ที่ถือหุ้นในบริษัทที่ไม่ได้ประกอบกิจการสื่อ แต่การผลิตสื่อถูกระบุไว้ในวัตถุประสงค์ของบริษัทด้วย หรือที่ทำธุรกิจสื่อแต่เลิกไปแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ เพราะไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฏหมาย การตัดสินเช่นนี้อาจทำให้ว่าที่ ส.ส. และผู้สมัคร ส.ส. ถูกตัดสิทธิ์จำนวนมาก คะแนนเสียงของประชาชนกลายเป็นบัตรเสีย และนำมาซึ่งผลการเลือกตั้งที่ไม่สะท้อนความต้องการของประชาชน
ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้สมัครส.ส. แบบแบ่งเขตทั้งสิ้น 11,128 คน หากมีผู้สมัครร้อยละ 10 ที่ถือหุ้นสื่อ คะแนนของผู้สมัคร 1,100 คนจะถูกทิ้งลงน้ำ เสียงของประชาชนจำนวนมากจะไม่ได้รับการพิจารณาทันที
เราไม่ได้มีเจตนามุ่งร้ายต่อทั้งสามท่าน เราเพียงต้องการแสดงให้สังคมเห็นถึงปัญหาเชิงระบบที่กฏหมายและการตีความทางกฏหมายไม่สอดคล้องกับความจริงในสังคม เราไม่มีเจตนาจะฟ้องร้องท่านหนึ่งท่านใด และเราไม่เห็นด้วยที่จะใช้ข้อกล่าวหานี้กับพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม เพราะเราเห็นว่าการฟ้องร้องแบบนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อใคร แต่เป็นเพียงการทำลายล้างกันทางการเมือง และสร้างภาระในการพิสูจน์ให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาและผู้กล่าวหามากมาย
อนึ่ง เราขอสงวนสิทธิ์ที่จะนำรายชื่อที่รวบรวมไว้ ฟ้องต่อองค์กรที่เกี่ยวข้อง หากพรรคอนาคตใหม่ถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
หมายเหตุ: ประโยคนำของโพสต์นี้ ผมหยิบยืมมาจากโพสต์เฟซบุ๊กของคุณสฤณี อาชวานันทกุล ขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ล่าสุดวันนี้ (2 พฤษภาฯ) นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก แสดงความคิดเห็นกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เปิดเผยรายชื่อ 3 แกนนำพรรคการเมืองอื่นที่เข้าข่ายถือหุ้นสื่อ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ‘ธนาธร’เปิดลิสต์3บิ๊ก3พรรคส่อถือหุ้นสื่อ ลั่น‘อนค.’ถูกเลือกปฏิบัติฟ้องเอาคืนแน่) ว่า
“ต้องติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ห้ามกระพริบตา ขอให้คุณเอกเปิดเผยออกมาเรื่อยๆครับบ้านเมืองต้องมีมาตรฐานเดียว ต้องจบแล้วครับเรื่องสองมาตรฐาน หรือเรื่องหาเรื่องทำลายฝ่ายตรงข้ามโดยอาศัยกฎหมายเป็นเครื่องมือ”