"เจ๊หน่อย"  ที่ผ่านมาหันทางไหนก็ถูกลืม จะแทงสมศักดิ์ก็โดนทิ่มกลับสาหัส

กับคำพูดของคุณหญิงสุดารัตน์ ที่ระบุว่า เคยบอกแล้วว่าคนที่ย้ายออกไปขอให้ไปแล้วไปลับ กรวดน้ำให้แล้ว คำพูดนี้ออกมาสืบเนื่องจาก กระแสข่าวในโลกโซเชียลที่มีการแชร์ ว่ากลุ่มสามมิตรของพรรคพลังประชารัฐ อาจย้ายกลับมาพรรคเพื่อไทย เพราะไม่พอใจที่ไม่ได้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรเเละสหกรณ์ เพราะฉะนั้นวันนี้มาติดตามอีกหนึ่งบทเรียน !!! "เจ๊หน่อย" ที่ผ่านมาหันทางไหนก็ถูกลืมจะแทงสมศักดิ์ก็โดนทิ่มกลับสาหัส

เริ่มต้นด้วย กระแสข่าวในโลกโซเชียลที่มีการแชร์ ว่ากลุ่มสามมิตรของพรรคพลังประชารัฐ อาจย้ายกลับมาพรรคเพื่อไทย เพราะไม่พอใจที่ไม่ได้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรเเละสหกรณ์

 

จึงทำให้ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย ตอบผู้สื่อข่าวที่ถามว่า กระแสข่าวในโลกโซเชียลที่มีการแชร์ ว่ากลุ่มสามมิตรของพรรคพลังประชารัฐ อาจย้ายกลับมาพรรคเพื่อไทย เพราะไม่พอใจที่ไม่ได้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรเเละสหกรณ์ ยินดีที่จะให้กลุ่มสามมิตรกลับมาตั้งรัฐบาล และร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ว่า “เคยบอกแล้วว่าคนที่ย้ายออกไปขอให้ไปแล้วไปลับ กรวดน้ำให้แล้ว พรรคเพื่อไทยไม่มีผลประโยชน์ในการทำงาน ต้องการคนจริงใจไปช่วยประชาชน ไม่ใช่คนที่อ้างประชาชนไปหาผลประโยชน์ คนบางกลุ่มที่ย้ายออกจากพรรคไปแล้วก็ไม่ต้องย้ายกลับมา”

จนในที่สุด 31 พฤษภาคม 2562  “สมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มสามมิตร” พรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวชี้แจงว่า ไม่ได้ยินจากปากคุณหญิงสุดารัตน์ ว่าได้พูดเช่นนั้นหรือไม่ แต่ก็ได้ฟังจากคนในพรรคเพื่อไทยบอกว่าพูดจริง ซึ่งช่วงก่อนเลือกตั้ง คุณหญิงสุดารัตน์เคยมาชวนให้ไปร่วมพรรคเพื่อไทยแต่ปฏิเสธ ดังนั้น การออกมาบอกว่า ให้ไปแล้วไปลับ กรวดน้ำให้แล้วนั้น สมควรหรือไม่ เป็นถึง "คุณหญิง" สมควรพูดแบบนี้หรือไม่

หากพูดถึง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย ต้องดูท่าที่ที่ผ่านมา ตั้งแต่ก่อนพรรคเพื่อไทยจะมีการเลือกตั้ง ที่มีบทบาทสูงยิ่งในการเคลื่อนไหว ในฐานะประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย

จนหลังจากที่มีการเลือกตั้ง ก้าวจังหวะทางการเมืองหลังจากนั้นก็มักเคลื่อนไหวแสดงท่าที เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม “คุณหญิงสุดารัตน์” ให้สัมภาษณ์ถึงความชัดเจนของพรรคเพื่อไทยในการเสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ว่า “ดิฉันเคยพูดมาแล้วในฐานะนักการเมืองเรื่องคำมั่นสัญญาเป็นเรื่องสำคัญ ดิฉันจะไม่เสียสัจจะที่เคยพูดไปแล้ว แม้ตอนนั้นจะเชิญชวนทุกพรรคให้มาร่วมกับพรรคเพื่อไทยแต่เขาก็ตั้งเงื่อนไข ดิฉันถือคำพูดสำคัญสัจจะที่ให้ไว้คงไม่รับตำแหน่งใดๆได้ แต่อยากให้ฝั่งประชาธิปไตยเดินหน้ายุติการสืบทอดอำนาจให้ได้”

ส่วนกระแสข่าวที่พรรคเสนอให้นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นผู้ถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว ว่า ต้องหารือกันใน7 พรรคก่อนถึงวันโหวตนายกฯ ตนจะพูดก่อนไม่ได้แต่จะพูดในนามส่วนตัวเท่านั้น และ 7 พรรคการเมืองก็จะไม่รอพรรคการเมืองใดแล้ว แต่ต้องดูเหตุการณ์ก่อนแล้วถึงจะประชุมกัน 7 พรรคเพื่อดูว่าจะเสนอใครเป็นนายกฯในทิศทางเดียวกัน ซึ่งขณะนี้เหลือแคนดิเดตนายกฯ 4คน ใน7พรรคตอนนี้เหลือ3 คนไม่นับตัวเอง เพราะตนเป็นนักรบตนไม่คืนคำ คือ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯจากพรรคเพื่อไทย และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคอนาคตใหม่ตามกฎหมาย

เพราะฉะนั้นเราคงต้องมาย้อนดู บทเรียน ของ “คุณหญิงสุดารัตน์” ที่ผ่านมาหันทางไหนก็ถูกลืม  แม้วันที่ใช้คำพูดสวน  “สมศักดิ์ เทพสุทิน”  แกนนำกลุ่มสามมิตรก็ โดนทิ่มกลับสาหัส

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้  “สุดารัตน์” ต้องถือว่าเป็นนักการเมืองที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่งของประเทศไทย และก็ได้รับตำแหน่งสำคัญๆ ตอนเป็นส.ส.  เริ่มตั้งแต่ พรรคพลังธรรมของพลตรีจำลอง ศรีเมือง ก็เคยได้เป็นรัฐมนตรีช่วยคมนาคม ต่อแม้จะเป็นรัฐมนตรีช่วยแต่ก็ขยับใหญ่ขึ้น นั่นก็คือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

ในช่วงระหว่างหลังจากนั้นมาร่วมงานกับ “ทักษิณ ชินวัตร” และได้ออกจากพรรคพลังธรรมมาด้วยกัน มาตั้งพรรคไทยรักไทยก็ได้ครองตำแหน่งใหญ่ 2 ตำแหน่ง นั่นก็คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร

โดยปกติ “คุณหญิงสุดารัตน์” ในฐานะเป็นนักการเมืองหญิง พูดจาอ่อนหวาน อ่อนโยนน จึงได้รับฉายาจากบรรดาผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายว่าเป็นนักการเมืองที่พริ้ว ไม่เคยเข้าไปอยู่ในที่ความขัดแย้งรุนแรง แม้แต่ในสมัยเสื้อแดงเคลื่อนไหวระหว่างปี 52-53 อย่างรุนแรงซึ่งหลายฝ่ายเชื่อกันว่าเสื้อแดงจะเปลี่ยนแปลงประเทศได้ คุณหญิงสุดารัตน์ก็เก็บตัวเงียบ

หลังจากการยึดอำนาจปี2557  “คุณหญิงสุดารัตน์”  ได้หันหน้าเข้ามาทำบุญ ไปปรับปรุงลุมพินีสถาน สถานที่ประสูติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งอยู่ที่ประเทศเนปาล

 

ใครไปถามอะไรก็บอกว่า ไม่ตัดสินใจ ยังไม่อยากยุ่งเรื่องการเมือง อยากจะทำแต่บุญ นั่นก็คือท่าทีของคุณหญิงสุดารัตน์ในตอนนั้น

เมื่อปี่กลองเลือกตั้งดังขึ้น บทบาทของ “คุณหญิงสุดารัตน์” ก็เปลี่ยนไปอีกทางในทันที เพราะหลังจากนั้นก็มีข่าวว่าคุณทักษิณตกลงยินยอมที่จะให้พรรคเพื่อไทยเสนอชื่อคุณหญิงสุดารัตน์ เสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรี

 

บทบาทของคุณหญิงสุดารัตน์ก็เปลี่ยนกลับ โจมตีสาดใส่ คสช. แสดงสภาวะความเป็นผู้นำของพรรคเพื่อไทย เพื่อที่จะให้บรรดาสมาชิกพรรคและคนในพรรคให้การยอมรับหรือไม่   เพราะที่ผ่านมานั้นคุณหญิงสุดารัตน์ได้รับการยอมรับจากทักษิณ เป็นเพียงผู้นำกลุ่มกรุงเทพมหานคร แต่ความหวังของคุณหญิงสุดารัตน์ก็พังทลายไป เมื่อมีการสมัครรับเลือกตั้งและเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี และก็มีจุดพลิกผันที่ คุณหญิงสุดารัตน์น่าจะคิดได้ว่าตัวเองโดนหลอกนั่นก็คือ การที่พรรคไทยรักษาชาติ นำเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ จนท้ายที่สุด จำต้องถูกยุบ

และครั้งนี้ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา  “คุณหญิงสุดารัตน์”  ไม่มีตำแหน่งแห่งหนอะไร มีแต่เพียงเป็นประธานยุทธศาสตร์ เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย อยู่ๆก็ออกมาบอกว่าจะไม่เดินหน้า ไม่ต้องมาเสนอชื่อตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี  ย่อมจะทำให้เกิดความสั่นไหวและอ่อนไหว