- 25 มิ.ย. 2562
นักวิชาการ หนุน ดร.กิตติธัช ฟ้องเพจศาสนาดัง เป็นตัวอย่าง กรณีใช้โซเซียลตัดทอนคอมเม้นต์ให้เข้าใจผิด
สืบเนื่องมาจาก ดร.กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่ามีเพจดังได้ตัดทอนความเห็นของตนนำเอาไปโพสต์เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจผิด และจะดำเนินการฟ้องร้อง ตามข้อความข้างล่างนี้
ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์
Sinchai Chaojaroenrat
ได้กระทำการตัดตอนข้อความออกจากบริบท และนำไปโพสท์ต่อว่า
"คลั่งชาติ คลั่งภาษา"เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด และความเกลียดชัง อันเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายหมิ่นประมาท
โพสท์วันที่ 24 มิถุนายน 2562
เวลา 11:40 น. และที่อยู่โพสท์ คือ
https://www.facebook.com/…/a.824621877583…/2439761329402702/
ที่มาของโพสท์
ผมได้คอมเมนต์ในโพสท์ของคุณ Pui Vijitphan เรื่องที่คุณ Pui พูดถึงธรรมเนียมการทูตที่แต่ละประเทศจะใช้ล่ามของตัวเองอยู่แล้ว
https://www.facebook.com/potion.pui/posts/10156463626441332
ซึ่งผมเข้าไปคอมเมนต์ว่า คนที่ยังคิดว่าทั่วโลกเขาต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางเท่านั้น (เป็นเรื่อง "สากล") คือ คนที่มีแนวคิดไม่ต่างจากยุคล่าอาณานิคม และไม่มีศักดิ์ศรีของชาติตนเอง
เพราะในความเป็นจริง ธรรมเนียมการทูตทั่วโลก แต่ละประเทศ เวลาสนทนาหรือแถลงการณ์เป็นทางการ จะใช้ล่ามในการสื่อสารอยู่แล้ว แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะสนทนาภาษาของกันและกันหรือภาษาอื่นได้ก็ตาม
หลักฐานประกอบ
- ผู้นำรัสเซีย กับ ผู้นำเยอรมัน
https://www.youtube.com/watch?v=xfLr95gMQoY
- ผู้นำจีน กับ ผู้นำฝรั่งเศส
https://www.youtube.com/watch?v=WYGy0hzybxk
- ผู้นำญี่ปุ่น กับ ผู้นำฝรั่งเศส
https://www.youtube.com/watch?v=sHZnF25V1lI
- ผู้นำญี่ปุ่น กับ ผู้นำพม่า (อองซาน)
https://www.youtube.com/watch?v=eQ0ZDwTNx5I
- ผู้นำญี่ปุ่น กับ ผู้นำเวียดนาม
https://www.youtube.com/watch?v=RdF4XlZJGMY
- ผู้นำอินโดนีเซีย กับ เกาหลีเหนือ
https://www.youtube.com/watch?v=F6jp64LA_cA
- ผู้นำสหรัฐอเมริกา กับ ผู้นำอิตาลี
https://www.youtube.com/watch?v=n-jGsxnFP6k
https://www.youtube.com/watch?v=pkPEvebHQhQ
จะเห็นได้ว่าทุกชาติ ล้วนแต่ใช้ภาษาของตนเอง และให้ล่ามแปลในการสนทนาและเจรจาทางการทูตทั้งสิ้น
ทั้งนี้ เหตุผลมีสองประการหลัก คือ
1. การเจรจาระหว่างประเทศ ทุกประเทศมี #ศักดิ์ศรี" และ #คุณค่าความเป็นมนุษย์" เท่าเทียมกัน ดังนั้นคู่เจรจาก็ต้องเคารพต่อภาษาของแต่ละชาติ ซึ่งนี่เป็นธรรมเนียมที่ทั่วโลกเขาใช้กัน
การใช้ภาษาของตนเองสื่อสาร คือ การบ่งบอกว่าเราเคารพซึ่งกันและกันในสถานะชาติที่มีเอกราช มีวัฒนธรรม มีภาษาของตน
นี่ไม่ใช่การ "คลั่งชาติ คลั่งภาษา" แบบที่นายศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ อ้างแน่ๆ เพราะถ้าเช่นนั้นผู้นำทั่วโลก ก็คลั่งชาติ คลั่งภาษากันหมดแล้ว
2. การเจรจาระหว่างประเทศ ภาษาที่ใช้มีความเป็นทางการและหลายครั้งเกี่ยวข้องกับศัพท์เฉพาะที่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา เป็นสื่อกลาง รวมถึงล่ามยังช่วยปรับภาษาให้มีความนุ่นนวลและเหมาะสมกับคู่เจรจาด้วย
*** การวิพากษ์หรือวิจารณ์ความเห็นโดยสุจริต และ มีบริบทของข้อความว่าพูดถึงเรื่องอะไรนั้น ไม่มีปัญหา เป็นเรื่องที่คนในสังคมมีความเห็นต่างกันได้ (แม้จะขัดแย้งกับความจริงทางการทูตก็ตาม)
*** แต่การนำข้อความไปตัดตอนบริบทออก และ เอาไปโพสท์จั่วหัวว่า "คลั่งชาติ คลั่งภาษา" นั้นถือเป็นการทำให้เกิดความเข้าใจผิดและก่อให้เกิดความเกลียดชัง
*** สุดท้ายนี้ ผมขอประกาศว่าจะ #ดำเนินคดีทางกฎหมาย กับนายศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ ในข้อหาหมิ่นประมาทอยา่งแน่นอน
เพราะสิ่งที่นายศิลป์ชัยทำนี้ ไม่เพียงตัดทอนเพื่อใส่ร้าย ซึ่งปราศจากวามเป็นวิญญูชนโดยทั่วไปแล้ว ยังเป็นการกระทำที่ขาดจรรยาบรรณในฐานะนักวิชาการ รวมถึงการเป็นผู้สอนทางศาสนาด้วย!
อัพเดท: ล่าสุดนายศิลป์ชัย ลบโพสท์หนีไปเรียบร้อยแล้ว
ล่าสุด ผู้ใช้เฟซบุ๊ก" Wathin Chatkoon" นักวิชาการได้ออกมาโพสต์ต่อกรณีดังกล่าว ความว่า
ขอสนับสนุนให้มีการดำเนินการทางกฏหมายเพื่อเป็นตัวอย่างในกรณี "การใช้โซเซียลมีเดียเพื่อเป็นอาวุธทำร้ายคนอื่น" : กรณีตัดตอนคอมเม้นต์ของดร.กิตติธัช โดย ดร.เวทิน ชาติกุล
1. คอมเม้นต์ของดร.กิตติธัชเป็นการเข้าไปตอบคอมเม้นต์ในโพสต์ของเพื่อนที่รู้จักกัน เป็นการสนทนาระหว่างดร.กิตติธัช กับเพื่อน ไม่ใช่การโพสต์โดยตรงผ่านหน้าเฟสของดร.กิตติธัชเอง และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ ดร.ศ.แต่อย่างใด (แปลง่ายๆ เขาคุยกับเพื่อน และเขาไม่ได้ด่าหรือพาดพิงถึงคุณ)
2. การสนทนานี้เข้าใจว่าเป็นสาธารณะ ถ้า ดร.ศ.หรือใคร ที่ไม่เห็นด้วยกับคอมเม้นต์ของดร.กิตติธัช ก็สามารถเข้าไปตอบ(โต้)ในคอมเม้นต์ในโพสต์นั้นได้(ถ้าเจ้าของโพสต์เปิดให้ทำได้) เพราะการโต้แย้งถกเถียงยังอยู่ในบริบทเดิม และแฟร์กับทั้งสองฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกันทั้ง ดร.กิตติธัชและดร.ศ. (แต่ถ้าอยากเสือกเรื่องชาวบ้านก็สามารถเสือกได้)
3. โดยสามัญสำนึก ดร.กิตติธัชและดร.ศ.จะเข้าไปตอบ(โต้)กันในโพสต์ต้นทาง จะโต้กันแบบดี หรือเถียงกันแบบโง่ๆ ก็น่าจะยอมรับได้มากกว่า การที่ดร.ศ.แคปเอาคอมเมนต์ ดร.กิตติธัชมา "โพสต์" ที่หน้าวอลล์ของตัวเอง (จะแมนๆกว่าถ้าเข้าไปเสือกกันที่ต้นทางเลย ที่เดียวจบ)
4. ใช่ว่า "การแคป" มาโพสต์จะเป็นสิ่งต้องห้าม (เพราะระบบของเฟสบุคเอื้ออำนวยให้ทำแบบนั้นได้) แต่ดร.ศ.ต้องยอมรับว่านี่คือกำลังทำสิ่งที่มากกว่าการถกเถียงระหว่างกัน และเป็นวิธีการที่ "ไม่ซึ่งหน้า" ซึ่งในกรณีที่มีการแคปมาโพสต์โดย "เจตนา" ให้เกิดความเสียหาย ดร.ศ.ก็ต้องยอมรับข้อผูกพันทางศีลธรรมและทางกฏหมายที่จะตามมาจากการกระทำของตน (การแคปมา "ด่า" โดยอารมณ์เป็นมากกว่าการเสือกเรื่องชาวบ้าน)
5. "เจตนา" ให้เกิดความเสียหายนี้ ถ้าดร.ศ.ที่แคปไปอ้างว่าไม่มีเจตนาก็ต้องดูที่คนที่ถูกพาดพิงอย่าง ดร.กิตติธัชว่าเข้าใจว่าตนเองได้รับความเสียหายหรือไม่?
6. ดร.ศ.สามารถวิจารณ์โดยชอบได้ แต่มีความต่างกันมากระหว่างการแคปเอามาแล้ววิจารณ์ด้วยเหตุผลแบบคนที่มีเหตุผลเขาทำกัน กับการแคปไปด่าหรือประจาน ซึ่งอย่างหลังจะอธิบายอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้นว่าเป็นการแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์โดยชอบ (การแคปมาด่าไม่ใช่การวิจารณ์โดยชอบ)
7. ยิ่งถ้าปรากฏการตัดทอนข้อมูล ข้อเท็จจริง หรือบริบทของการสนทนาอันจะก่อให้เกิดความเข้าใจที่ผิดพลาด คลาดเคลื่อน ต่อตัว ดร.กิตติธัช ก็ยิ่งมีความผิดในเรื่องการเผยแพร่ข้อมูลอันไม่ตรงกับความจริงอีก
8. ถ้ามีการเอาโพสต์ของ ดร.ศ.ไปขยายผลในทางลบต่อ ดร.กิตติธัช ก็ยิ่งเข้าข่าย social bully (ทางกม.อาจไม่มีความผิดชัด แต่ทางศีลธรรมเป็นสิ่งที่ผิดแน่นอน)
9. กรณีนี้ถ้าคนที่ทำไม่ใช่วัยรุ่นเกรียนคีย์บอร์ดที่ปราศจากวุฒิภาวะ (อันพอที่จะให้อภัยได้) และเป็นคนที่มีอิทธิพล(ระดับหนึ่ง)ในโลกโซเซียลคือมีคน followเยอะ อันควรมีวิจารณญาณว่าเรื่องใดควรนำเสนอ หรือไม่ควรนำเสนอ แบบไหน? อย่างไร? ที่จะไม่ทำร้ายหรือเป็นอันตรายต่อผู้อื่นโดยเจตนา
10. ถึงให้อภัย และสามารถยอมความทางกฏหมายได้ แต่ถ้า ดร.กิตติธัช ชัดเจนว่าตนคือผู้เสียหาย และมีหลักฐานชัดเจนที่จะดำเนินการทางกฏหมายได้ และจะฟ้องร้องทั้งทางอาญาและแพ่ง ขอสนับสนุนให้นำข้อเท็จจริงไปต่อสู้กันในศาล ทำเพื่อเป็นกรณีตัวอย่าง เพราะที่ผ่านมาหลายต่อหลายกรณีที่เกิด cyberbully หรือ การใช้โซเซียลเป็นอาวุธทำร้ายคนอื่นที่คนที่ทำและร่วมกระทำยังคงลอยนวลเพราะยังคิดว่าจะไม่มีใครเอาจริง
ทำให้เห็นว่าหลักการเสรีนิยม เสรีภาพที่ถูกต้องที่ใฝ่หาเรียกร้องกันนักหนานั้น ถ้าทำให้ศักดิ์สิทธิ์แล้วจะมีผลเช่นไรกับคนที่ละเมิด
(หมายเหต: ปัจจุบัน ดร.กิตติธัช เป็น อาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งโดยสมบูรณ์แล้ว)