เลิกดิสเครดิต ศาลรธน.!!  คดีหุ้นวี-ลัค มีเดีย “ปิยบุตร-ธนาธร” ไม่ต้องออกตัวแรง ลุ้นระทึก “แม่สมพร กับหลาน” ขึ้นเบิกความ!?

ร้อนต่อเนื่องกับประเด็นการนำสืบข้อเท็จจริง เรื่องการถือหุ้นสื่อ บริษัทวี-ลัค มีเดีย หลังจาก ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ขนเอกสารหลายลังไปชี้แจงศาลรัฐธรรมนูญ ถามว่าร้อนยังไง ก็ต้องย้อนไปถอดถ้อยแถลง ของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่วันนี้ดูจะมีราศีมาก ในการนำทัพพรรคอนาคตใหม่ต่อไป ถ้า นายธนาธร เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง

 ร้อนต่อเนื่องกับประเด็นการนำสืบข้อเท็จจริง   เรื่องการถือหุ้นสื่อ บริษัทวี-ลัค มีเดีย  หลังจาก ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ  หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ขนเอกสารหลายลังไปชี้แจงศาลรัฐธรรมนูญ

ถามว่าร้อนยังไง   ก็ต้องย้อนไปถอดถ้อยแถลง   ของ    นายปิยบุตร  แสงกนกกุล  เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่วันนี้ดูจะมีราศีมาก  ในการนำทัพพรรคอนาคตใหม่ต่อไป  ถ้า นายธนาธร  เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง

ร้อนแรก  เริ่มต้นจากสิ่งที่ นายปิยบุตร    ยืนยันว่า  นายธนาธร   เดินทางไปต่างประเทศ  เพื่อพักผ่อนกับครอบครัว  และมีภารกิจทางการเมือง กับเจ้าหน้าที่สหภาพยุโรป   นักการเมืองในหลายประเทศ  รวมถึงร่วมเสวนาวิชาการ  เรื่องสถานการณ์การเมืองไทย 

                                                                                                                    

โดยประเด็นสำคัญที่จะมีการพูดคุย  ก็คือ  เรื่องการสืบทอดอำนาจของรัฐบาล คสช.  ซึ่ หลายครั้งที่ผ่านมา  แนวทางการพูดจา  นายธนาธร   ส่วนใหญ่ก็จะหนักไปทางโจมตีคสช.  แต่อีกมุมหนึ่งก็ปฏิเสธใม่ได้ว่า  มีส่วนทำให้ภาพลักษณ์ประเทศไทย ติดลบ  ด้วยข้อมูลผิด ๆ มาหลายครั้ง 

 

ยกตัวอย่างกรณีเรื่องการไปพูด   ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย  หรือ  FCCT  เมื่อวันที่  15 พฤษภาคม 2562   อ้างว่า  นางสมพร  จึงรุ่งงเรืองกิจ   ผู้เป็นแม่  ได้รับการติดต่อ  จากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ   ขอเก้าอี้ส.ส. จำนวน 20 คน  แลกกับคดีความที่โดนข้อกล่าวหา พร้อมเสียงหัวเราะในสิ่งที่นำไปพูด

 

 

“หลายสัปดาห์หลังการเลือกตั้ง (24 มีนาคม 2562) คุณแม่ของผม ได้รับการติดต่อจากสมาชิกอาวุโสของพรรคพลังประชารัฐ และคุณก็รู้ว่าตอนนั้นมีคดี มีการฟ้องร้อง มีคดีอาญาที่กล่าวหาผม และแกนนำพรรคอนาคตใหม่ และสมาชิกอาวุโสของพรรคพลังประชารัฐก็กล่าวกับแม่ของผมว่า “คุณสมพร เราสามารถจะเคลียร์คดีทุกคดีของลูกชายคุณ แกนนำอนาคตใหม่ อ.ปิยบุตร ถ้าคุณขอให้ลูกชายคุณโอน ส.ส. 20 คนของพรรคอนาคตใหม่ มายังพรรคพลังประชารัฐ” ดังนั้น แม่ผมซึ่งค่อนข้างจะกลัวคดีโน่นนี่ที่ผมโดนอยู่ และกลัวว่าลูกชายจะไม่ปลอดภัย และเธอก็ไม่ค่อยรู้เรื่องการเมืองเท่าไหร่ ทั้งยังไม่เข้าใจตัวเลขการคำนวณ ส.ส. เกี่ยวกับการเมือง ดังนั้น คืนหนึ่งเธอจึงโทร.หาผม และบอกว่า “ธนาธร! แม่ได้รับข้อเสนอว่า ในเมื่อลูกได้ ส.ส.ตั้ง 80 ที่นั่ง งั้นก็ให้ ส.ส.เขาไป 20 ที่นั่ง แล้วก็ล้างคดีไปเสีย” ... (เสียงหัวเราะ) ... นั่นเองเป็นสาเหตุว่าทำไมเราต้องนั่งกันอยู่ที่นี่เพื่อคุยเกี่ยวกับเรื่องอนาคตของพรรคอนาคตใหม่”

 

ขณะที่ในช่วงต่อมา (นาทีที่ 23-26) นายธนาธร ยังกล่าวอ้างด้วยว่า หลังเลือกตั้งตนและแกนนำพรรคอนาคตใหม่ถูกดำเนินคดี 7 คดี ในข้อหาต่างๆ และกล่าวย้ำด้วยว่า มีการใช้คดีความเหล่านี้มาอ้าง เมื่อมีคนโทรหาแม่ของตน

 

"คดีเหล่านี้ร้ายแรงมาก และเขาก็ใช้คดีเหล่านี้เพื่อข่มขู่เรา จากนั้นก็ติดต่อไปยังแม่ของผม ดังเรื่องที่ผมกล่าวไปตอนต้นการบรรยายว่า คดีเหล่านี้จะถูกล้างไปหมด ถ้าเราโอน ส.ส. 20 คนไปให้พลังประชารัฐ (ธนาธรยิ้มและหัวเราะ)"

 

ย้ำให้ชัดเจน ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลกแน่นอน  กับการที่นายธนาธร  จะไปพูดให้ต่างชาติฟัง ในลักษณะกล่าวหา พรรคการเมืองหนึ่งขอเก้าอี้ส.ส.โดยไม่มีหลักฐาน

โดยเฉพาะหลังจากนั้น  สิ่งที่นายธนาธรนำการเมืองไทย ไปวิพากษ์วิจารณ์ในทางเสียหาย ก็เงียบไป  ไม่มีการแสดงหลักฐาน   ไม่มีความพยายามจะเอาผิดนักการเมือง ที่โทรศัพท์ไปหาแม่เพื่อต่อรองขอเก้าอี้ส.ส. ทั้ง ๆ ที่ถือเป็นความชัดเจนถึงขั้นยุบพรรคได้เลย  ในทางตรงข้ามคำพูดเลื่อนลอยของนายธนาธร ได้ทำให้ภาพลักษณ์ประเทศไทยเสียหายยับเยิน

 

ตัดภาพกลับมาพิจารณาคำพูดของนายปิยบุตรอีกครั้ง โดยเจ้าตัวมั่นใจสุด ๆ ว่าหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ไม่ได้ทำผิดเรื่องถือหุ้นสื่อ

โดยประเด็นหลัก ๆ ที่นายปิยบุตร  นำมากล่าวอ้าง  ยังคงแนวทางเดิมซึ่งเคยพูดไว้ ก็คือ

1.เรื่องการขาย โอนหุ้น  บริษัทวี-ลัค มีเดีย  เกิดขึ้นเสร็จสิ้น ก่อนขั้นตอนสมัครรับเลือกตั้งส.ส. เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562

2.บริษัทวี-ลัค มีเดีย เป็นบริษัทผู้รับจ้างพิมพ์อย่างเดียว  ไม่เกี่ยวข้องจัดทำนิตยสาร ให้กับสายการบินนกแอร์  ซึ่งเป็นผู้ควบคุมเนื้อหาทั้งหมด

3.บริษัทวี-ลัค มีเดีย ได้ยกเลิกการจ้างพนักงานเพื่อเตรียมปิดบริษัท  ตั้งแต่ปลายปี 2561

 

 เหล่านี้เป็นเพียงบางส่วนของแนวทางการสู้คดีของนายธนาธร  ที่ระยะหลังต้องให้นายปิยบุตร  มาอธิบายแทนในคำถาม ที่ดูเหมือนก็ยังตอบไม่ชัดสักเท่าไร

ทั้งเรื่องเอกสาร อบจ.5  ที่แสดงการโอนหุ้น วันที่  21 มีนาคม 2562  ตามหลักข้อกฎหมาย  แต่เจ้าตัวเลือกจะนำเอกสารตราสารหุ้น  ซึ่งเป็นเอกสารภายใน  ที่ลงชื่อนายธนาธร  กับนางสมพร  ผู้เป็นแม่ มาแสดงยืนยัน   

 

จนสุดท้ายจึงเป็นที่มาของตัวละครอีก 2 คน คือ  หลานชายของนางสมพร   ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้เข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น  บริษัท วี-ลัค มีเดีย   เพราะนางสมพรตัดสินใจ   โอนหุ้นในส่วนของนายธนาธรให้ถือครองแทน  หลังจากเกิดข้อกังขาว่าทำไม  เมื่อ นายธนาธร และภรรยา ลาออกแล้ว  ทำไมยังคงจำนวนผู้ถือหุ้นเข้าประชุมเท่าเดิม

 

ขณะที่คำวินิจฉัยเบื้องต้นของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ   ย้อนเตือนความจำอีกรอบ  องค์คณะเสียงส่วนใหญ่  ระบุว่า  “ศาลพิจารณาคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้ว เห็นว่าคดีนี้  ผู้ร้องได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ  มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง

 

และปรากฏข้อมูลจากเอกสารประกอบคำร้องว่า   ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นทุกครั้งจะส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น    ระบุวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น พร้อมหนังสือนำส่งนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครในเวลาใกล้ชิดกัน   ซึ่งแตกต่างจากการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นในคดีนี้ ตามเอกสารประกอบคำร้องไม่ปรากฏว่ามีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น  จึงปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่า ผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้องหรือไม่

 

@มากมายหลายเงื่อนไข  เกี่ยวกับการถือครองหุ้นสื่อขงนายธนาธร  ซึ่งนายปิยบุตรไม่ได้ชี้แจงตรงไปตรงมา แต่เลือกจะดิสเครดิตศาลรัฐธรรมนูญล่วงหน้า

 

ทั้งการเรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญ   ดำเนินกระบวนการยุติธรรม  โดยยึดมาตรฐานเดียวกับ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.การต่างประเทศ  ในเรื่องของเงื่อนเวลาวินิจฉัย ซึ่งกรณีของนายธนาธร   ควรจะเกิดขึ้นในช่วงสิ้นเดือนกันยายน  2562   และการเปิดให้คู่ความโต้แย้งอย่างเต็มที่  เพื่อไม่ให้เหมือนกับเคสกรณีของการยุบพรรคไทยรักษาชาติ

 

ซึ่งแน่นอนว่าการดิสเครดิตศาลรัฐธรรมนูญ  เป็นเรื่องปกติที่นายปิยบุตรสื่อสารต่อสาธารณะอยู่แล้ว    จึงไม่ค่อยน่าแปลกใจนัก  แต่จุดน่าสนใจจริง ๆ คือ การที่นายปิยบุตร  ร้องขอให้ศาลนัดไต่สวนพยานบุคคลเพิ่มเติม  รวมทั้งยังให้มีการออกนั่งพิจารณาโดยเปิดเผย   

 

โดยกรณีการร้องขอให้มีการไต่สวนพยานเพิ่มเติม   และการนั่งพิจารณาเปิดเผย  เชื่อว่านายปิยบุตรคงเจตนาจะให้สังคมได้รับรู้ขั้นตอนการพิจารณาคดี  

 

 แต่ขณะเดียวกันก็น่าสนใจใจไม่น้อย   ว่าพยานบุคคล จะหมายรวมถึง นางสมพร  จึงรุ่งเรืองกิจ  และ  นายทวี  กับ  นายปิติ จรุงสถิตพงศ์    ผู้เป็นหลานชายที่รับโอนหุ้น  ในสัดส่วนของนายธนาธรมา ถือไว้หรือไม่  ที่ต้องเข้าสู่กระบวนการไต่สวนโดยเปิดเผย

 

เพราะต้องไม่ลืมว่า ก่อนหน้านั้นในการให้ข้อมูลกับ “สำนักข่าวอิศรา” ของหลานชาย นางสมพร  ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่ไม่น้อย จากขั้นตอนรับการโอนหุ้นวี-ลัค มีเดีย อย่างนายทวี  บอกว่า เข้าไปคุยกับนางสมพร เรื่องงานแต่งงานของลูกสาว  แต่อีกฝ่ายหรือนางสมพร เสนอให้รับโอนหุ้น บริษัทวี-ลัค มีเดีย ไปดำเนินกิจการต่อ  ก่อนจะได้รับการโอนหุ้นมาในวันที่ 14 มกราคม 2562  

 

และด้วยจำนวนหุ้นที่มีอยู่ 2 กอง คือจากนายธนาธรและภรรยา ก็เลยใส่เชื่อนายปิติ พี่ชายเข้าไปถือครองด้วย  ก่อนท้ายสุดจึงแจ้งในที่ประชุมบริษัทวี-ลัค มีเดีย ในวันที่  19 มีนาคม 2562  แล้วโอนหุ้นคืนให้นางสมพร  ในวันที่ 21  มีนาคม 2562  เพราะเห็นว่าเป็นธุรกิจที่ไม่น่าจะสามารรถทำต่อไปได้

 

 ทีนี้เรามาพูดรายละเอียดเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรรมนูญ  ซึ่งกำหนดไว้ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ  ว่า ด้วยการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ  พ.ศ.2561

 

โดยข้อเท็จจริงก็เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว  ทั้งเรื่องการไต่สวนโดยเปิดเผย  ตามมาตรา 59   วรรคแรก  ซึ่งกำหนดว่า  การนั่งพิจารณาของศาลให้กระทําโดยเปิดเผย เว้นแต่เมื่อศาลเห็นเป็นการสมควรเพื่อรักษาความเรียบร้อยในบริเวณที่ทําการศาล หรือเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ศาลมีอํานาจกําหนดบุคคลที่จะอยู่ในห้องพิจารณาได้

กรณีนี้นายปิยบุตรไม่ต้องไปอธิบายต่อสื่อ  ให้เกิดภาพความคลุมเครือใด  ๆ เกี่ยวกับการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ

ส่วนการเบิกพยานบุคคล  ก็สามารถกระทำได้    ตามมาตรา  60   ระบุว่า  คู่กรณีจะอ้างตนเอง บุคคล และหลักฐานอื่นเป็นพยานหลักฐานได้ และมีสิทธิตรวจพยานหลักฐานและขอสําเนาพยานหลักฐานของตนเองหรือของคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งในเวลาทําการตามวิธีการและระยะเวลาที่กําหนดในข้อกําหนดของศาลก็ได้

การอ้างพยานหลักฐานตามวรรคหนึ่ง ให้คู่กรณียื่นบัญชีระบุพยานหลักฐาน และวิธีการที่จะได้มาซึ่งพยานหลักฐานดังกล่าว

และ ภายใต้บังคับมาตรา  58   ก่อนศาลมีคําวินิจฉัย  คู่กรณีอาจยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้  แต่ต้องยื่นเสียก่อนวันที่ศาลกําหนดว่าจะมีคําวินิจฉัยไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน

นอกจากนี้   ตามมาตรา  62    ยังเขียนด้วยว่า  ในการไต่สวนพยานบุคคล ไม่ว่าจะเป็นพยานที่ฝ่ายใดอ้างหรือที่ศาลเรียกมาเอง   ให้ศาลสอบถามพยานบุคคลเอง  แล้วให้พยานให้ถ้อยคําในข้อนั้นโดยวิธีแถลงด้วยตนเองหรือตอบคําถามศาล   ศาลอาจถามพยานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงใด ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับคดีแม้จะไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นอ้างก็ตาม

เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลอาจอนุญาตให้คู่กรณีซักถามพยานเพิ่มเติมตามประเด็น

และข้อเท็จจริงที่ศาลกําหนดไว้ก็ได้ โดยให้ฝ่ายที่อ้างพยานเป็นผู้ซักถามก่อน

หลังจากคู่กรณีถามพยานตามวรรคสองแล้ว ห้ามมิให้คู่กรณีฝ่ายใดถามพยานอีก เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล

 

กรณีนี้ถ้ามีการเบิกพยานบุคคล เป็นนางสมพร  จึงรุ่งเรืองกิจ หรือใคร ก็ตาม จึงน่าสนใจว่าจะสามารถตอบข้อซักถามของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ  ได้มากน้อย  อย่างไร จากสิ่งที่เป็นประเด็นคลุมเครือมากมาย  

 

 ย้ำอีกครั้งเรื่องการถือครองหุ้นสื่อของ นายธนาธร ท้ายสุดจะผิดหรือถูก ก็เป็นไปตามหลักฐาน  ข้อเท็จจริง  ไม่ควรจะการนำไปทำให้ภาพกระบวนการยุติธรรมมีเงาดำอีกเลย ..โดยเฉพาะนายปิยบุตรซึ่งด้านหนึ่งก็เป็นนักวิชาการด้านกฎหมาย ที่ต้องรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร??