- 20 ก.ค. 2562
มาแล้วนักกฏหมาย ปิยบุตรบอกพูดง่ายๆ ศาลทำได้แค่ยกคำร้องหรือให้เลิกล้มล้างการปกครองฯ
จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ประชุมเพื่อพิจารณากรณีสำหรับผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 เรื่องพิจารณาที่ 9/2562 ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องที่นายณฐพร โตประยูร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่าการกระทำของพรรคอนาคตใหม่ ผู้ถูกร้อง ที่ 1 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ถูกร้องที่ 2
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : สั่งฟ้องปิยบุตรแล้วขอนำตัวส่งอัยการ เจออ้างเอกสิทธิ์ส.ส.
นายปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ถูกร้องที่ 3 และคณะกรรมการบริการพรรคอนาคตใหม่ ผู้ถูกร้องที่ 4 เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือไม่นั้น ศาลรัฐธรรมนูญ มีเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 เห็นว่า ผู้ร้องได้ใช้สิทธิต่ออัยการสูงสุดเพื่อขอร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรค 2 แล้ว โดยมีผลพิจารณาตามเอกสารนั้น
ต่อมานายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนคต.) ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟชบุ๊ก "Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล " ถึงกรณีดังกล่าวในทันทีโดยระบุว่า
[ความเห็นเบื้องต้นต่อกรณีคำร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49]
"ตามที่มีข่าวสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ข่าวที่ 13/2562 ลงวันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2562 ว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 4 รับคำร้องของนายณฐพร โตประยูร ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่า พรรคอนาคตใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และคณะกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 49 นั้น
ผมมีความเห็นเบื้องต้น ดังนี้
1. ผมยังไม่เห็นคำร้องของผู้ร้อง จึงยังไม่ทราบว่าผู้ร้องอ้างข้อเท็จจริงใดร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และกรณีนี้เข้าองค์ประกอบตามมาตรา 49 หรือไม่ ขณะนี้ เรากำลังรอสำเนาคำร้องจากศาลรัฐธรรมนูญ และพร้อมชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในระยะเวลาที่กำหนด
2. ผมยืนยันว่า พรรคอนาคตใหม่ นายธนาธร ผม และคณะกรรมการบริหารพรรค ไม่ได้ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พวกเราก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ขึ้นก็เพื่อฟื้นฟูและธำรงรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง
ตรงกันข้าม การใช้สิทธิหรือเสรีภาพสนับสนุนให้กองทัพก่อรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองและยกเลิกรัฐธรรมนูญก็ดี การสมคบคิดกันก่อรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองและยกเลิกรัฐธรรมนูญก็ดี กรณีเหล่านี้ต่างหากที่เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
3. กรณีตามมาตรา 49 นี้ ผู้ร้องมีสิทธิร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไป หรือมีสิทธิร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรงในกรณีที่อัยการสูงสุดไม่รับดำเนินการหรือไม่ดำเนินการภายใน 15 วัน โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาว่าผู้ถูกร้องได้ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่ามีการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้น ศาลรัฐธรรมนูญก็มีอำนาจเพียงการสั่งการให้เลิกการกระทำเท่านั้น มิใช่กรณีร้องขอให้ยุบพรรคหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคแต่อย่างใด
พูดง่ายๆ ก็คือ ในคดีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยได้เพียงสั่งยกคำร้องหรือสั่งให้เลิกการกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเท่านั้น
4. อย่างไรก็ตาม เมื่อข่าวนี้ปรากฏขึ้น ผู้คนจำนวนมากต่างเข้าใจไปว่า อาจมีกรณียุบพรรคอนาคตใหม่ บ้างก็แสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวางว่า พรรคอนาคตใหม่ไม่รอดแน่ โดนยุบแน่ ทั้งๆที่ตามคำร้องแล้ว ไม่ใช่เรื่องยุบพรรคแต่อย่างใด ปรากฏการณ์เช่นนี้สะท้อนอะไร ?
ประการแรก มีคนจำนวนมากเชื่อไปล่วงหน้าก่อนแล้วว่า การยุบพรรคอาจเกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะการยุบพรรคการเมืองที่มีแนวทางต่อต้านเผด็จการหรือผู้ครองอำนาจ หากเป็นเช่นนี้จริง ก็อาจตั้งคำถามได้ต่อไปว่า ใช่หรือไม่ว่า ผ่านมา 13 ปี สุดท้ายแล้ว มีคนจำนวนมากไม่ได้เชื่อมั่นว่าการยุบพรรคตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว แต่มันมีเหตุปัจจัยทางการเมืองผสมผสานอยู่ด้วย
ประการที่สอง ในทางสากลแล้ว การยุบพรรคการเมืองถือเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องพิเศษ เป็นเรื่องจำเพาะเจาะจงอย่างยิ่ง เพราะ พรรคที่ถูกยุบได้ต้องเป็นพรรคที่มีพฤติกรรมล้มล้างหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครอง แต่ในประเทศไทย คนจำนวนมากกลับเชื่อกันว่า การยุบพรรคเกิดขึ้นได้เสมอและบ่อยครั้ง นี่คือ ความผิดปกติที่กลายเป็นความปกติ ยิ่งคนจำนวนมากเชื่อเช่นนี้มากเท่าไร ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า สิ่งที่เชื่อนั้นเป็นสิ่งผิดปกติแต่มันเกิดขึ้นซ้ำๆจนกลายเป็นสิ่งปกติในการเมืองไทย