- 16 ต.ค. 2562
@หนึ่งเรื่องใหญ่ที่ควรได้มีการขยายความ สำหรับท่าทีล่าสุดของสหภาพยุโรป เพราะเป็นปฏิกริยาทางการต่างประเทศ ภายหลังโฆษกสถานทูตจีนประจำประเทศไทย ออกมาแถลงเตือนนักการเมืองไทยบางคน ให้ระมัดระวังพฤติกรรมการแสดงออกถึงการสนับสนุนแนวคิดแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีน ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิดอย่างร้ายแรงและไร้ความรับผิดชอบ เพราะอาจกระทบต่อมิตรภาพไทย-จีน
@หนึ่งเรื่องใหญ่ที่ควรได้มีการขยายความ สำหรับท่าทีล่าสุดของสหภาพยุโรป เพราะเป็นปฏิกริยาทางการต่างประเทศ ภายหลังโฆษกสถานทูตจีนประจำประเทศไทย ออกมาแถลงเตือนนักการเมืองไทยบางคน ให้ระมัดระวังพฤติกรรมการแสดงออกถึงการสนับสนุนแนวคิดแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีน ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิดอย่างร้ายแรงและไร้ความรับผิดชอบ เพราะอาจกระทบต่อมิตรภาพไทย-จีน
ทั้งนี้สาระใจความสำคัญที่สหภาพยุโรปนำเสนอ ระบุว่า "คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปได้รับทราบรายงานจากผู้แทนระดับสูงเกี่ยวกับพัฒนาการทางการเมืองภายในประเทศไทย หลังจากมีการเลือกตั้งขึ้นในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ภายใต้บริบทนี้ และเมื่อพิจารณาถึงมติเดิมที่คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปได้ให้ความเห็นชอบไว้ในวันที่ 11 ธันวาคม 2560
คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปจึงพิจารณาว่า ขณะนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วสำหรับสหภาพยุโรปที่จะกระชับความสัมพันธ์กับประเทศไทยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งนี้รวมถึงความสัมพันธ์ในประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน เสรีภาพขั้นพื้นฐาน และประชาธิปไตยแบบพหุนิยม โดยการเตรียมพร้อมสำหรับการลงนามกรอบความตกลงว่า ด้วยการเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือกับประเทศไทยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกจากนี้คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญในการเดินหน้ารื้อฟื้น การเจรจาความตกลงการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรปและประเทศไทยอีกด้วย"
ถือเป็นการต่อยอดความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพยุโรปกับไทย หลังจากเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2560 สหภาพยุโรปได้แสดงความชื่นชมต่อความคืบหน้า สู่การจัดการเลือกตั้งทั่วไปในต้นปี 2562 และได้ย้ำถึงความสำคัญของการจัดการเลือกตั้งอย่างน่าเชื่อถือ โปร่งใส และมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เพื่อกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตย
และเน้นความสำคัญในการยกเลิกข้อจำกัดของพรรคการเมืองและเสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมอย่างเร่งด่วน สหภาพยุโรปพร้อมสนับสนุนไทยในด้านดังกล่าว โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าการประชุมดังกล่าว เป็นก้าวสำคัญของการเสริมสร้างความร่วมมือที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปต่อไป
@ย้ำให้ชัดเจนก็คือสหภาพยุโรปมีแนวทางที่ชัดเจน ต่อการเป็นพันธมิตรที่ดีกับประเทศไทย ตั้งแต่ก่อนมีการเลือกตั้งแล้ว และยิ่งมั่นใจประเทศไทยมากขึ้นหลังการเลือกตั้ง มีรัฐบาลเกิดขึ้นตามรัฐธรรนูญ 2560 เพียงแต่ที่ผ่านมามีนักการเมืองบางคน บางฝ่าย พยายามทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศถูกบิดเบือนไปในทางลบ
ยกตัวอย่างชัดเจนและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ก็คือเคสของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ด้วยเหตุสืบเนื่องจากการเผยแพร่เอกสารการว่าจ้าง ระหว่างนายธนาธร กับ บริษัท แอพโก เวิลด์ไวด์ (APCO Worldwide LLC) ซึ่งมีสถานะเป็นบริษัทล็อบบี้ยิสต์ สัญชาติอเมริกัน และมีพันธะสัญญาผูกพัน ในช่วงระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 31 ธันวาคม 2562
พร้อมรายละเอียดกำหนดว่า แอพโกฯมีการคิดค่าบริการ 1 หมื่นเหรียญสหรัฐ ต่อเดือน เบ็ดเสร็จช่วงระยะเวลา รวม 6 เดือน มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 6 หมื่นเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 1,837,000 บาท สำคัญเลยในเอกสารมีลายมือการลงนามร่วมกันระหว่างนายอีวาน เคราส์ (Evan Kraus) ประธานและกรรมการผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ กับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อย่างเป็นกิจลักษณะ
ประเด็นน่าสนใจก็คือ สัญญาที่ทำกับล็อบบี้ยิสต์ต่างชาติรายนี้ มีเป้าหมายเรื่องการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนายธนาธร ในฐานะหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ อย่างชัดเจน และกำหนดช่วงระยะเวลาดำเนินการ ล้วนเกิดขึ้นภายหลังจากกกต.ประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส. 2562 หรือ ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 ซึ่งคาบเกี่ยวกับการช่วงจังหวะการจัดตั้งรัฐบาลไม่นานนัก ก่อนที่พรรคอนาคตใหม่กับอีก 6 พรรคการเมืองในเครือข่ายทักษิณ จะอยู่ในสถานะของการเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน
@ส่วนรายละเอียดที่ปรากฎและตรวจสอบได้จากการที่มีชื่อธนาธร ในสัญญาว่าจ้างล็อบบี้ยิสต์ให้ทำหน้าที่ประสานงานการเข้าพบกับบุคคลต่าง ๆ "สนข.ทีนิวส์" เคยนำเสนอไปก่อนหน้า มีรายละเอียดคร่าว ๆ ประกอบด้วย
กรณีเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 ธนาธร โพสต์รูปแสดงเหตุการณ์เดินทางไปให้สัมภาษณ์กับ นางแอนเดรีย มิตเชลล์ ผู้ดำเนินรายการของสถานีโทรทัศน์ NBC ส่วนหัวข้อที่มีการให้ข้อมูลกับสื่อต่างประเทศ คือ การวิพากษ์วิจารณ์การเมืองไทย ทำนองว่าจมปรักอยู่กับเหตุการณ์รัฐประหาร ที่เป็นเหตุผลทำให้พรรคอนาคตใหม่ต้องเดินหน้าหยุดยั้งวงจรดังกล่าว
รวมถึงยังอ้างถึงสิทธิเสรีภาพ ตามระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย ที่ตัวเขาและพรรคอนาคตใหม่ต้องถูกข้อกล่าวหาแล้วถึง 25 กรณี แยกเป็นข้อกล่าวหาเฉพาะตัวบุคคล 3 คดี ที่นายธนาธรอ้างกับสื่อต่างประเทศ ด้วยว่า เป็นเรื่องที่มีการคาดหมายมาก่อนล่วงหน้า จึงไม่เคยหวั่นเกรงที่จะต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตย ซึ่งสูญเสียไปนานหลายสิบปี และยังไม่รู้ว่าจะได้กลับคืนมาเมื่อใด
ประเด็นสำคัญ คือ นายธนาธรอ้างกับสื่อต่างประเทศด้วยว่า เป้าหมายที่เดินทางมาต่างประเทศก็เพื่อมาบอกว่าประเทศไทย ยังไม่ใช่ประเทศประชาธิปไตย และรัฐบาลที่เห็นในฐานะผู้บริหารบ้านเมือง ก็คือ รัฐบาลทหาร
พร้อมแสดงจุดยืนต้องการให้มิตรประเทศ ยืนเคียงข้างและให้การสนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ ช่วยให้ประเทศไทยกลับมาเป็นประเทศ ที่ทรงพลังเรื่องประชาธิปไตยอีกครั้งในภูมิภาค เพื่อที่จะได้ช่วยแก้ไขปัญหาในภูมิภาคและระดับโลกด้วย ซึ่งส่วนตัวมั่นใจว่าประเทศอเมริกาที่สร้างขึ้นบนหลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน จะช่วยเหลือในสิ่งเหล่านี้ได้
หรือกระทั่งการให้สัมภาษณ์กับ VOA ภาคภาษาไทย ธนาธรระบุถึงการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา ว่า เป็นการเคลื่อนไหว เพื่อนำไปสู่การแสวงหาพันธมิตร สนับสนุนให้ประเทศไทย ได้สังคมที่มีนิติรัฐ ซึ่งยังไม่สามารถหาได้จากผู้บริหารประเทศในชุดปัจจุบัน ส่วนภารกิจของพรรคอนาคตใหม่ ก็คือ การสร้างกระแสให้คนไทยลุกขึ้นมาต่อสู้กับระบอบเผด็จการเพื่อวิถีประชาธิปไตย เพราะท้ายสุดคงไม่มีคนต่างชาติที่ไหน จะมาช่วยการเปลี่ยนแปลง และนำประเทศไทยกลับเป็นประชาธิปไตยได้
@ถึงตรงนี้ถ้าย้อนกลับไปดูข้อความที่ออกมาจากสหภาพยุโรป คงไม่ต้องย้ำว่าสิ่งที่ ธนาธร ลงเงิน ลงมือ ทำขึ้นเพื่อดิสเครดิตรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ได้ผลแค่ไหน อย่างไร เพราะชัดเจนอยู่ในทุกบทถ้อยแถลง ว่า เป็นการเคลื่้อนไหวที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ของ ธนาธร และยิ่งทำให้คนไทยทั้งประเทศ เห็นภาพตัวตนของ ธนาธร ได้อย่างละเอียดลึกซึ้งมากขึ้น
ที่น่าพิจารณาสุด ๆ ก็คือการพบว่า เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 แฟนเพจเฟซบุ๊ก พรรคอนาคตใหม่ - Future Forward Party ได้มีการโพสต์ภาพพร้อมข้อความ ภารกิจของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ , น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรค และ ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ที่ปรึกษานโยบายเศรษฐกิจ ในการเดินทางไปยังกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม ได้ให้รายละเอียดถึงขนาดว่า มีโอกาสพบปะกับนักการเมืองและข้าราชการของสหภาพยุโรป ในการติดตามและแลกเปลี่ยนสถานการณ์เศรษฐกิจการเมืองโลก ท่ามกลางภาวะสงครามการค้าระหว่างจีน–สหรัฐฯ รวมทั้งหารือเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทยหลังเลือกตั้ง
สำคัญตรงนี้มีการให้ข้อมูลว่า ธนาธร และคณะ ได้พบกับ นายอลิน สมิธ สมาชิกรัฐสภายุโรป และหนึ่งในคณะกรรมาธิการด้านการต่างประเทศของรัฐสภายุโรป โดย ธนาธร ในฐานะหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้เล่าให้สมาชิกรัฐสภายุโรป ฟังถึงผลการเลือกตั้งในไทย ว่ามีข้อมูลความผิดปกติเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง ทำให้สมาชิกรัฐสภายุโรปตอบกลับว่า จะนำเรื่องดังกล่าว รวมถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนมาพิจารณา ก่อนที่จะเดินหน้าเจรจาเขตการค้าเสรี หรือ FTA ระหว่างอียูกับไทย ซึ่งหยุดชะงักมาตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2557
ปรากฎว่าหลังจากนั้นไม่กี่วัน มีข้อเท็จจริงอีกด้านว่า ในวันที่ 19 กรกฏาคม 2562 นายโดนัลด์ ทุสก์ , นายฌ็อง คล้อด ยุงเกอร์ ประธานสภายุโรปและประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กลับส่งสารถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ระบุข้อความว่า "ในนามของสหภาพยุโรป เราขอแสดงความยินดีแก่ท่าน เนื่องในโอกาสที่ท่านได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย และสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้เป็นผลสำเร็จ
ราชอาณาจักรไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญสำหรับสหภาพยุโรป ไม่ว่าจะเป็นในระดับทวิภาคีในอาเซียน หรือ ในเวทีระดับพหุภาคีต่างๆ สหภาพยุโรปหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ทำงานกับท่าน และรัฐบาลของท่านอย่างใกล้ชิด ในอันที่จะเสริมสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีระหว่างกันและกัน เพื่อประโยชน์แห่งประชาคมโลกซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของกติกาและบรรทัดฐานร่วม รวมทั้งเพื่อส่งเสริมประชาธิปไตย ระบบการค้าที่เสรีและเป็นธรรม และสิทธิมนุษยชนให้รุ่งเรืองสืบไป เราขออวยพรให้ท่านประสบแต่ความสำเร็จ"
ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง กับข้อมูลล่าสุดในเพจเฟซบุ๊กของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ นอกจากจะทำเป็นไม่รู้ว่าประชาคมโลก รู้สึกอย่างไรกับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ที่มาจากกระบวนการเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตยแล้ว ยังคงแพร่ข้อความแนวคิดส่วนหนึ่งของ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการรพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งวนเวียนกับการปลุกระดมสร้างความเกลียดชังให้กับคนในชาติ โดยเฉพาะการเลือกวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลปัจจุบัน ว่าเป็นเผด็จการที่ใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจ เพื่อไปอวดอ้างชาวโลกว่าประเทศไทยกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยแล้ว
@ย้ำชัด ๆ เลยว่ากรณีที่สหภาพยุโรปออกมาแสดงจุดยืนทางการเมืองต่อประเทศไทย สวนทางกับสิ่งที่ธนาธรกับคณะไปประโคมข่าวให้เกิดความเสียหายนั้น คือ บทพิสูจน์สำคัญเลยว่า คำพูดของ ธนาธร และพรรคอนาคตใหม่ กับเวทีประชาคมโลก ไม่มีผลใด ๆ ทางการเมืองอีกแล้ว
ขณะที่ต้องย้อนกลับมาดู คนไทยด้วยกันเองจะยังยอมให้คนพวกนี้ หลอกลวง สร้างความเกลียดชังประเทศตัวเองต่อไป หรือไม่ เพราะข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากสหภาพยุโรป ถือ เป็นประเด็นสำคัญที่ควรได้รับการพิจารณายิ่ง ว่า แท้จริงแล้วต่างชาติมองไทยแบบไหน
ขณะที่พันธะสัญญาระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป ถือเป็นประตูการค้าอีกหนึ่งบานใหญ่ ที่จะกลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้ง นอกเหนือจาก สหรัฐ และจีน ที่ยังคงเป็นคู่ค้าสำคัญสูงสุดของไทยในรอบปี 2562 ....โดยไม่สนใจคำชี้ชวนให้คว่ำบาตร รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ มาโดตลอด จากคณะบุคคลที่ถูกเรียกว่า "พวกชังชาติ" !!!