- 29 ธ.ค. 2562
กลายเป็นอีกหนึ่งกระแสวิพากษ์วิจารณ์ย้อนกลับไปสู่พรรคอนาคตใหม่ โดยเฉพาะ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หลังจากไปร่วมงานประเพณีวันปีใหม่ม้ง อ.พบพระ จ.ตาก และมีบางข้อความที่อ้างถึงบทบาททางการเมืองของพรรคในสังกัดตัวเอง แต่ขณะเดียวกันก็สื่อกระทบกระเทียบให้เกิดความรู้สึกแตกแยกทางสังคม จากสิ่งที่พยายามนำเสนอชุดความคิดเรื่องการสร้างความเสมอภาคในสังคม
กลายเป็นอีกหนึ่งกระแสวิพากษ์วิจารณ์ย้อนกลับไปสู่พรรคอนาคตใหม่ โดยเฉพาะ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หลังจากไปร่วมงานประเพณีวันปีใหม่ม้ง อ.พบพระ จ.ตาก และมีบางข้อความที่อ้างถึงบทบาททางการเมืองของพรรคในสังกัดตัวเอง แต่ขณะเดียวกันก็สื่อกระทบกระเทียบให้เกิดความรู้สึกแตกแยกทางสังคม จากสิ่งที่พยายามนำเสนอชุดความคิดเรื่องการสร้างความเสมอภาคในสังคม
"เพราะเราเชื่อในเรื่องคนเท่ากัน เราเป็นเพื่อนประเทศเดียวกัน เป็นเจ้าของประเทศ เป็นเจ้าของผืนป่า เป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมาย พรรคอนาคตใหม่เห็นคุณค่าของทุกกลุ่มคนในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนที่ถูกภาครัฐละเลย กลุ่มคนที่รัฐมองว่าเป็นชนชั้นสอง กลุ่มคนที่ถูกกดขี่เอาเปรียบมายาวนาน"
ล่าสุด ดร.สมเกียรติ โอสถสภา อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แชร์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความเห็นในประเด็นดังกล่าว ใจความสำคัญระบุว่า "ไปอยู่ไสมาท้าวถึงเว้าหว่าชาวม้งชาวดอยไร้การเหลียวแล บ่มีบ่อนเฮ็ดอยู่เฮ็ดกิน แหกตาเบิ่ง แถวแม่ริม โป่งแยง สะเมิง กะมีแต่รีสอร์ทที่เจ้าของเป็นชนเผ่า รายได้มื้อหนึ่งหลักหมื่นหลันแสนบาท รวยกว่าคนพื้นราบกะคนเทิงดอยนั่นล่ะ ดินเทิงดอยที่มันหัวล้านกะของคนเทิงดอยทั้งนั้นคนร้อยไร่พันไร่ มึงไปอยู่ไสมา บักฮูขี้ Ekbordin Ajhanขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆ น้อง คนเดินดินของแท้ทรู"
ขณะที่เพจเฟสบุ๊ก "ปราชญ์ สามสี" ก็สะท้อนความเห็นในประเด็นดังกล่าว มีใจความตอนหนึ่ง ระบุว่า "ประเด็นเกี่ยวกับ เรื่อง การที่พรรคการเมืองหนึ่งพยายาม ชูความเป็น “ม้ง” หรือ “ชนกลุ่มน้อย” ให้ปลดแอกจาก “ไทย” โดยไปชักนำให้พวกเขาภูมิใจในความเป็นชนเผ่าท้องถิ่น แต่ก็แฝงไปด้วยการต่อต้านความเป็นไทยไปในตัว โดยสร้างค่านิยมว่า ชาวเขาถูกคนไทยกดขี่อย่างไม่เลียวแล
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ โดยเฉพาะการพยายามสร้างความเข้าใจผิดๆเช่นนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ พรรคการเมืองเหล่านี้ เคยกระทำ ซึ่งเรื่องชาติพันธุ์เป็นเรื่อง ละเอียดอ่อนมากๆครับ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆก็คงไม่ยกมาพูดถึงครั้งนี้แน่ๆ เพราะ ข้าพเจ้าก็เชื่อว่าพวกเขามีแนวทาง ละม้ายคล้ายกลุ่มนักเคลื่อนไหวในฮ่องกงอยู่พอสมควร โดยเฉพาะวิธีการประท้วง ที่มักเอาความเป็นชนกลุ่มน้อยหรือ กลุ่มชาติพันธุ์แฝงมาเป็นเงื่อนใขในการเรียกร้องสิทธิเพื่อหวังผลในการล้มล้างกฎหมายเดิมที่เรียกว่ารัฐธรรมนูญนั้นเอง
ข้าพเจ้ายกตัวอย่างความขัดแย้งระหว่างผู้ชุมนุมชาวฮ่องกง และ จีนแผ่นดินใหญ่ เพราะจะเห็นภาพชัดเจนถึงแนวทางที่พวกเขากระทำ กล่าวคือ ผู้ชุมนุมชาวฮ่องกง โดยเฉพาะกลุ่มที่ออกมาต่อต้านกฎหมายของจีนแผ่นดินใหญ่นั้น มีความพยายาม ยกเอาเรื่อง กลุ่ม อุยกู(ชาวจีนมุสลิม) ในมลฑณ ซินเจียง ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เอามาเป็นเงื่อนใข ในการโจมตี กฎหมายจีนแผ่นดินใหญ่เพื่อ “ขอแบ่งแยกดินแดน” เกาะฮ่องกง ให้ออกจากแผ่นดินใหญ่นั้นเอง
โดยในเชิงรายละเอียดนั้น นักเคลื่อนไหว ฮ่องกง มีความพยายามพาดพิงว่า ชาว อุยกู(ชาวจีนมุสลิม) มิใช่ “ชาวจีน” อีกทั้งมีวัฒนธรรมแตกต่างจากชาวจีน และไม่ควรถูกจีนแผ่นดินใหญ่รังแกด้วยการกลืนเป็น “ชาวจีน” ทัง้ที่ในความเป็นจริงแล้ว ชาวอุยกู หรือ ชาวซินเจียง นั้นเป็นส่วนหนึ่งของจีนตั้งแต่สองพันปีก่อน และนับถือมุสลิมจากอิทธิพลทางศาสนาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง อัฟกานิสถาน และปากีสถาน
หากมองเชิงวิธีการแล้ว การพยายามเอาความเปราะบางทางชาติพันธุ์ ภาษาและศาสนา มาเป็นเงื่อนใข โดยหวังผลเพื่อสร้างความขัดแย้ง เพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญ ลดเสถียรภาพของประเทศ และมีแนวโน้มลุกลามไปถึงการแบ่งแยกดินแดน
สอดคล้องกับการทำสงครามสมัยข่าวสมัยใหม่ ที่เน้นปลุกระดมให้สังคมเกิดความสับสนวุ่นวายแบ่งฝักฝ่ายนั้นเอง
ย้อนกลับมาที่ เรื่องนักการเมือง อย่าง คุณ ”ส้มทอน” ที่พยายาม เสียเหลือเกินออกเดินสายไปสามจังหวัดชายแดนใต้เน้นการ ปลดแอก ปัตตานี ยะลา ออกจากประเทศไทย โดยอ้างถึงความต่างชาติพันธุ์และศาสนา และความขัดแย้งกับทหารไทย…ยังไม่พอ ยังพยายาม เดินสาย กับชาวม้ง ชาวชายขอบให้แข็งเมือง โดยอ้างว่า ประเทศไทยกดขี่ข่มเหง ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ไม่จริงเลยซักนิดครับ
ประเทศไทย รักชาวม้งและไม่เคยกดขี่หรือบังคับให้พวกเขาเป็นคนไทย แต่อย่างใด แต่ในอดีตชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านและทำสงครามกัน จนไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ต้องอาศัยหลบอยู่ตามป่าเขา พวกเขาอยู่ได้โดยการปลูกฝิ่น เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ ชีวิตความเป็นอยู่เวลานั้นแร้นแค้นมาก ไม่สุขสบายเพราะ สาธารณสุขไม่เพียงพอ และยังขาดการศึกษา ชาวเขาหลายเผ่าหนีออกจากป่าเพื่อมาหางานในประเทศไทย แต่ลำบากเพราะกฏหมายในสมัยก่อนไม่รองรับ
แต่เพราะ ในหลวง ร.9 ที่ทรงเมตตา ทรงรับไว้เป็นคนไทยและดูแลเป็นอย่างดี และพระองค์ทรงเดินทางไปพบผู้นำชนกลุ่มน้อยด้วยพระองค์เองเพื่อช่วยเหลือความเป็นอยู่ของพวกเขา หลักฐานก็คือ เหรียญ ร.9 ที่มอบให้ชนกลุ่มน้อยต่างๆเป็นหลักฐานว่าเป็นคนไทยนั้นแหล่ะครับ ทุกวันนี้ ชีวิต ชาวม้งดีขึ้น มีบัตรประชาชน และได้รับการศึกษาที่ดีจากประเทศไทย ได้รับการรักษาพยาบาล และทำงานได้เหมือนคนไทยทุกประการณ์
ดังนั้น วาทะกรรม ที่มีคนพยายามกล่าวหาว่า ประเทศไทยกดขี่ชาวเขา-ชนกลุ่มน้อย ด้วยการกลืนชาตินั้นมิใช่ความจริงใดๆเลยครับ เพราะเวลานี้ไม่ว่าท่านจะเป็นใครหากเกิดบนแผ่นดินไทย ก็ย่อมเป็นไทยด้วยกันทั้งสิ้น"
นอกจากนี้ ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการชื่อดัง ก็โพสต์ข้อความว่า " สร้างความแตกแยกระหว่าง Gens ก็ยังไม่บรรลุเป้าหมาย ตอนนี้พยายามจะสร้าง ความแตกแยกระหว่างคนไทยกับชนเผ่าด้วยข้อมูลที่เป็นเท็จอีก เลวจริงๆ "
เช่นเดียวกับ ในเพจเฟสบุ๊ก ของ พี่ปอง อัญชะลี ไพรีรัก ได้แสดงความเห็นในเรื่องนี้เช่นกัน โดยระบุว่า "ในหลวง ร.9 ทรงทำมาก่อน ต่อเนื่อง ยาวนาน เห็นผล ทอนอย่ามาเคลม นิสัยไม่ดี เลว เรื่องชาวเขานี่จะไม่ยอม ด่ามาด่ากลับ ซอมบี้มาด่าสู้ คนเดียวก็สู้ตาย เรื่องนี้เอาเป็นเอาตายกันเลย ยอมไม่ได้
ทุกเรื่องยอมไม่ได้ เรื่องชาติพันธุ์ยอมไม่ได้ยิ่งกว่า ไอ้กระจอก ไอ้โกหก โม้ ขโมย โจร ไม่สมประกอบ... ชั้นเปิดพับลิคนะคะ"