- 15 เม.ย. 2563
กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันพอสมควร สำหรับการเดินหน้าภารกิจหยุดยั้่งวิกฤตการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. อันเป็นไปตามข้อกำหนด ในอำนาจหน้าที่ "พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน"
กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันพอสมควร สำหรับการเดินหน้าภารกิจหยุดยั้่งวิกฤตการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. อันเป็นไปตามข้อกำหนด ในอำนาจหน้าที่ "พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน"
ล่าสุด พล.อ. ประยุทธ์ ได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 112/2563 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแล ด้านผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 เนื้อหาสาระสำคัญ ว่าด้วย การแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแล ด้านผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 โดยมีปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับ ปลัดกระทรวงอีก 9 กระทรวง รวมถึงผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โดยมีภารกิจสำคัญ ว่าด้วยการจัดทำมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ตลอดจนให้กลุ่มเป้าหมายได้รับการช่วยเหลือเยียวยาอย่างทั่วถึง เป็นธรรมโดยเร็ว
พร้อมกำหนดหน้าที่และอำนาจสำคัญ 7 ข้อ คือ
1. ติดตาม รวบรวม และบูรณาการข้อมูลเกี่ยวกับผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน
2. ตรวจสอบการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามมาตรการของรัฐต่างๆ
3. นำผลการดำเนินการ มาวิเคราะห์และจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีความครอบคลุม ทั่วถึงและเป็นธรรม
4. กำกับดูแลและตรวจสอบการดำเนินมาตรการชดเชยรายได้ ให้เป็นไปตามแผนงานและเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส รวมทั้งเสนอแนะกลไกและขั้นตอนการดำเนินงานที่กลุ่มเป้าหมาย สามารถเข้าถึงการช่วยเหลือเยียวยาได้อย่างแท้จริง ต่อนายกรัฐมนตรี หรือศูนย์ปฏิบัติการด้านมาตรการป้องกันและช่วยเหลือประชาชน ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 6/2563 เรื่อง การจัดโครงการสร้างของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ลงวันที่ 27 มีนาคม 2563
5. ให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และ องค์กรที่เกี่ยวข้อง ชี้แจงข้อเท็จจริง และรายงานข้อมูล รวมทั้งจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องต่อคณะกรรมการ
6. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงาน หรือ บุคคล เพื่อช่วยปฏิบัติงานได้ตามความจำเป็น และ เหมาะสม
และ 7. การปฏิบัติงานอื่น ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
หลังจากก่อนหน้านั้น พล.อ.ประยุทธ์ เพิ่งมีคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 9/2563 และ 12/2563 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการพัสดุสำหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) โดยมีปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข , เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา , อธิบดีกรมบัญชีกลาง , อธิบดีกรมศุลกากร และ อธิบดีกรมการค้าภายใน ร่วมเป็นรองประธาน
ภายใต้กรอบหน้าที่เรื่องการบริหารจัดการพัสดุและเวชภัณฑ์ สำหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อดังกล่าวให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
โดยสาระสำคัญของการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าว คือ การกำหนดอำนาจหน้าที่กลั่นกรอง ควบคุม การบริการจัดการพัสดุ และเวชภัณฑ์ หน้ากากอนามัย ที่น่าสนใจ อาทิ ข้อ 2 พิจารณากลั่นกรองการกำหนดราคากลางในการจัดซื้อพัสดุสำหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) และเวชภัณฑ์ป้องกัน ตลอดจนสินค้าหน้ากากอนามัยของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้เหมาะสม
การพิจารณากลั่นกรองการนำเข้าสินค้าหน้ากากอนามัยเข้ามาในราชอาณาจักร และคำขอรับหนังสืออนุญาตการส่งออกสินค้าหน้ากากอนามัยไปนอกราชอาณาจักร พร้อมเอกสารหลักฐานของผู้ขออนุญาตให้เป็นไปตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เกี่ยวกับหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาต การอนุญาต แบบหนังสืออนุญาต และวิธีการส่งออกสินค้าหน้ากากอนามัย
การพิจารณากลั่นกรองเอกสาร หลักฐาน ข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการผลิต และปริมาณการจำหน่ายพัสดุสำหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) และเวชภัณฑ์ป้องกัน ตลอดจนสินค้าหน้ากากอนามัย รวมทั้งความต้องการในแต่ละภาคส่วนเพื่อประกอบการพิจารณาของเลขาธิการคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการในการอนุญาตให้ผู้ผลิตกระจายพัสดุสำหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) และเวชภัณฑ์ป้องกัน ตลอดจนสินค้าหน้ากากอนามัยให้ทั่วถึง
และการติดตาม ตรวจสอบ วิเคราะห์ ประเมินผล สรุปข้อมูลผู้ผลิตเกี่ยวกับ การนำเข้า ราคาซื้อ ราคาจำหน่าย ปริมาณการผลิต ปริมาณการกระจาย ชื่อและที่อยู่ของผู้รับซื้อปลายทาง ตลอดจนข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องกับพัสดุ สำหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) และเวชภัณฑ์ป้องกัน สินค้าหน้ากากอนามัย และรายงานผลการดำนินการให้นายกรัฐมนตรี ทราบเป็นระยะ
ทั้งนี้เป็นน่าสังเกตจากหลายฝ่ายในระยะที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ มีหลักการชัดเจนในการเข้าไปควบคุม สั่งการ การแก้ปัญหาฟื้นฟูประเทศ จากกรณีวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด -19 ในแทบทุกขั้นตอน อาทิ การออกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 8/2563 เรื่อง แต่งตั้งคณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชนในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2563 กรณีเพื่อให้การปฏิบัติงานของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดเป็นไปด้วยความรอบคอบ และมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 5/2563 เรื่อง การจัดตั้งหน่วยงานพิเศษเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2563 ข้อ 2 นายกรัฐมนตรีจึงแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชนในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เพื่อทำหน้าที่ในการเข้าร่วมประชุมเพื่อให้คำปรึกษา ข้อเสนอแนะ การป้องกัน และแก้ไขปัญหาของภาคธุรกิจเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด-19
พร้อมกำหนดให้ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นประธาน ทำงานร่วมกับ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง , อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม , ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า , ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย , ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และมีประธานองค์ภาคธุรกิจต่าง ๆ เป็นกรรมการ โดยไม่มีนักการเมือง หรือ ผู้แทนพรรคการเมืองใด ๆ ในพรรคร่วมรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้อง แม้แต่ชุดคณะกรรมการเดียวเลย
คลิกอ่านลิงค์เอกสารประกอบ - http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/E/083/T_0090.PDF
คลิกอ่านลิงค์เอกสารประกอบ - http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/E/085/T_0029.PDF