- 03 มิ.ย. 2563
สืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงใหญ่ภายในพรรคพลังประชารัฐ จากกรณี 18 กรรมการบริหารพรรคยื่นหนังสือลาออก ส่งผลทำให้คณะผู้บริหารพรรคต้องพ้นจากตำแหน่ง พร้อมรอการประชุมใหญ่เพื่อคัดเลือก จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายถึงความเหมาะสมในสถานการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่ขณะนี้
สืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงใหญ่ภายใน พรรคพลังประชารัฐ จากกรณี 18 กรรมการบริหารพรรค ยื่นหนังสือลาออก ส่งผลทำให้คณะผู้บริหารพรรคต้องพ้นจากตำแหน่ง พร้อมรอการประชุมใหญ่เพื่อคัดเลือก จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย ถึงความเหมาะสมในสถานการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่ขณะนี้
( คลิกอ่านข่าวประกอบ : อุตตม พ้นเก้าอี้หน.พรรค หลัง 18 กก.บห.ยื่นลาออก บิ๊กป้อม เต็งจ๋า ลั่นจุดยืนชัด )
ล่าสุด นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ได้เปิดเผยถึงรายละเอียดกรณีที่เกิดขึ้นว่า การลาออกของกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐทั้ง 18 คน เป็นเหตุเป็นผลที่ต้องการให้เกิดปรับปรุง เปลี่ยนแปลงพรรคไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น เพราะแม้ว่า พรรคพลังประชารัฐ เป็นพรรคการเมืองใหม่ ที่ได้รับโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการจัดตั้งรัฐบาล แต่แท้จริงพรรคพลังประชารัฐไม่ได้มีเสียง ส.ส. มากที่สุดในสภา
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่พรรคต้องมีกิจกรรมทางการเมืองที่กระฉับกระเฉงมากขึ้น ด้วยความมุ่งมั่นเพื่อที่พรรคพลังประชารัฐในอนาคต จะเป็นพรรคหลักในทางการเมือง และการปรับปรุงองค์ประกอบของพรรค ก็เป็นส่วนหนึ่งของการปรับพื้นฐานพรรคให้มีความหนักแน่น มั่นคงมากขึ้น ด้วยเหตุดังกล่าวตอบได้เลยว่าการปรับปรุงพรรค ย่อมมีโอกาสจะเกิดขึ้นไปได้เรื่อยๆ ถือเป็นธรรมชาติของพรรค ที่มีโครงสร้างที่ยืดหยุ่นสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้ ดังตัวอย่างของพรรคการเมืองในอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมหรือพรรคแรงงาน ที่ทุกคนเห็นการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารพรรคอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในทางการเมือง
"การปรับโครงสร้างทางการเมือง ไม่ได้หมายความว่าผู้บริหารเดิมจะไม่สามารถกลับมาได้อีก บุคคลที่เข้าใจชาวบ้าน เข้าใจชาวชนบท เข้าใจ ส.ส. ย่อมได้รับคะแนนนิยมในพรรค ทั้งท่านหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค หรือท่านประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ก็สามารถกลับเข้ามาเป็นผู้บริหารสูงสุดของพรรคได้อีกเช่นกัน การลาออกของกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เพื่อให้มีการเลือกตั้งกรรมการชุดใหม่ เปรียบเสมือนแก้วที่ตกผลึกแล้ว และกำลังจะถูกเจียระไนให้มีมูลค่าสูงขึ้น"
นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ ยังกล่าวด้วยว่า ส่วนตัวขอฝากสมาชิกของพรรคพลังประชารัฐทุกท่าน หยุดในสิ่งที่อาจจะทำให้สังคมเข้าใจผิด จากการสัมภาษณ์ พูดคุย หรือสร้างเครื่องมือการสื่อสารทางสังคมซึ่งอาจทำลายข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน หรือบ้านเมือง เพราะอาจจะเป็นการทำลายพรรคในทางอ้อม
ขณะที่โดยปกติแล้ว ส.ส. ของพรรคจะมีข้อมูลของประชาชนในพื้นที่อยู่มากแล้ว เราจึงควรใช้โอกาสนี้ไปรับฟังเพิ่มเติมว่า เสียงของประชาชนต้องการเห็นความปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองของพรรค มากน้อยแค่ไหน อย่างไร แล้วนำกลับมาช่วยกันสร้างนโยบายพรรคที่ส่งผลดีต่อประชาชนอย่างแท้จริง และในห้วงเวลาของการปรับเปลี่ยนผู้บริหารนี้ ก็จะทำให้เราได้นโยบายเก่าผสมใหม่ที่ดีถูกใจพี่น้องประชาชน และสิ่งที่เราต้องการคือการเป็นพรรคการเมืองอันดับ 1 ของประเทศก็จะอยู่ไม่ไกล
ส่วนข้อคำถามถึงกระแสสนับสนุน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้เป็นหัวหน้าพรรค นายสมศักดิ์ กล่าวตอบว่า การปรับโครงสร้างกรรมการบริหารพรรค ทุกคนมีโอกาสที่จะเข้ามาทำงานใหม่ ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง อย่างที่ใครเข้าใจกันไป ในทางตรงข้ามคนนั้น ต้องได้รับการยอมรับ ประกอบกับเหตุผลอื่น ๆ ไป
โดยในความเห็นส่วนตัว ก็กำลังฟังทุกเสียงเหมือนกันว่า พล.อ.ประวิตร จะตอบสนองต่อความต้องการของสังคม และประชาชนได้หรือไม่ แต่ส่วนตัวก็มองว่า พล.อ.ประวิตร มีจุดแข็งที่สามารถนำเสนอนโยบายให้กับรัฐบาลได้โดยตรง
โดยนายสมศักดิ์ เน้นย้ำว่า การเลือกกรรมมาการบริหารชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้น เป็นเรื่องสมาชิกพรรคด้วย ไม่ใช่แต่ส.ส.อย่างเดียว โดยจะมีตัวแทนแต่ละสาขา ซึ่งการเลือกจะขึ้นอยู่กับคนส่วนรวม ไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
สำหรับประเด็นความสัมพันธ์ กับ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีต กลุ่มสามมิตร นายสมศักดิ์ ระบุว่า เหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และที่ผ่านมานายสมคิด เคยพูดในสภา และอีกหลายๆที่ โดยยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้องและไม่ใช่คนในกลุ่มสามมิตร ดังนั้นจะเอามาเกี่ยวข้องได้อย่างไร พร้อมยืนยัน ไม่เกี่ยวข้องกัน รวมถึงกลุ่มสามมิตร ก็ไม่คิดว่าเป็นกลุ่มก้อน เพราะเราได้สลายสามมิตรไปแล้ว
ส่วนกรณีที่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างกรรมการบริหารพรรค จะเกี่ยวข้องกับการปรับคณะรัฐมนตรีหรือไม่นั้น นายสมศักดิ์ ยอมรับว่า ประเด็นนั้นย่อมเกิดขึ้นเเน่นอน เพราะนายกรัฐมนตรีได้แบ่งโควต้าให้กับพรรคการเมือง ของแต่ละพรรค ซึ่งในส่วนของพรรคพลังประชารัฐเอง ก็จะต้องดูกระทรวงให้เป็นประโยชน์ กับประชาชน ส่วนที่ไม่ตอบสนองประชาชนนั้น ก็ต้องอาศัยโควต้ากลาง อย่างกระทรวงมหาดไทย พร้อมยืนยันส่วนตัวดีกับทุกคน ไม่มีปัญหาอะไร ขณะเดียวกัน ยืนยันภายในพรรคไม่เกิดการทะเลาะ แต่การปรับเปลี่ยนเพราะต้องการให้เกิดความกระฉับกระเฉง และขึ้นเป็นพรรคอันดับ 1 รวมถึงปัญหาทั้งหมดจะจบลงด้วยการนำนโยบายที่ดีไปปฏิบัติ
เมื่อถามว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดความขัดแย้ง ถึงขั้นแยกตัวไปตั้งพรรคการเมืองใหม่หรือไม่นั้น นายสมศักดิ์ ตอยว่า คงขาดใจตายก่อนถ้าคิดถึงขนาดนั้น เพราะรัฐบาลเดินงานมาเพียง 1 ปี ดังนั้นกว่าจะเลือกตั้งก็ต้องรอเวลาอีก 3 ปี พร้อมเชื่อว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่ครบ 4 ปี เนื่องจากกระแสความนิยมดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันตนมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ นั้นเป็นนายกรัฐมนตรี ที่สามารถชี้แจงและตอบถึงปัญหาของประชาชนและส.ส.ในสภาได้ดีที่สุด รวมถึงเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ขยันที่สุดตั้งแต่ตนได้ทำงานการเมืองมา
นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีการวิเคราะห์ ว่า นายอนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท จะขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคคนใหม่ ว่า นายอนุชาก็เป็นตัวเลือกหนึ่ง แต่ก็ขึ้นอยู่กับการสนับสนุนของสมาชิกทั้งหมด ที่จะมีการประชุมตัดสินใจกันต่อไป
ก่อนหน้านั้น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะอดีตกรรมการบริหาร พรรคพลังประชารัฐ ได้แสดงความเห็นกรณีที่ตนและกลุ่ม ส.ส.กลุ่มภาคเหนือ ร่วมลงชื่อลาออกจาก กรรมการบริหารพรรค ว่า เป็นเพราะได้รับการประสานจากทางผู้ใหญ่ที่นับถือท่านหนึ่ง เมื่อตนได้พิจารณาแล้วก็เห็นว่าช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมา มีข่าวความเห็นต่างและความขัดแย้งในพรรคอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อการทำงานและความเป็นเอกภาพของรัฐบาล เพราะคนที่ถูกกดดันมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี ต่างก็มีหน้าที่แก้ไขปัญหาผลกระทบจากเชื้อโควิด-19 ให้พี่น้องประชาชน
"ก่อนหน้านี้สื่อเองก็พยายามจับกลุ่มกรรมการบริหารพรรคแยกเป็นสายโน้นสายนี้ โดยเฉพาะกลุ่มตนถูกจับตาเป็นพิเศษว่าเป็นตัวแปร หากอยู่ฝ่ายไหนฝ่ายนั้นจะมีเสียงเพิ่ม จนตนถูกจับไปอยู่ทั้ง 2 กลุ่ม ทั้งๆ ที่ตนคือพลังประชารัฐ สำคัญที่สุกสิ่งเหล่านี้มีคนบางคนพยายามสร้างขึ้นมา เพื่อให้เกิดความขัดแย้งโดยมีตนอยู่ตรงกลาง จึงอยากให้สังเกตว่ามีคนบางกลุ่มที่ขับไล่นายอุตตมมาตลอด แต่ไม่ลงชื่อลาออกจากกรรมการบริหารพรรค นั่นหมายความว่ามีคนวางแผนให้เกิดความขัดแย้งเพื่อให้มีการปรับ ครม. ตนเองก็จะได้ตำแหน่งที่หวังไว้
ส่วนประเด็นการปรับ ครม. ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่มีความเห็นเพราะเป็นอำนาจของนายกฯ ซึ่งนายกฯ ให้สัมภาษณ์แล้วว่ายังไม่ถึงเวลาปรับ ครม.