เปิดคำถามคาใจ อ.แก้วสรร ลั่นพอกันที ปล่อยให้เกิดเหตุซ้ำๆ อัยการก็คนเดิม อำนวย ทิ่มซ้ำแผลเน่า

กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่ต้องร่วมกันพิจารณาอย่างละเอียด จากจุดเริ่มการใช้อำนาจสั่งคดีของ นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ขณะดำรงตำแหน่ง อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูง ในการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ในความผิดฐานขับรถโดยประมาทเฉี่ยวชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย ขณะที่คณะทำงานตรวจสอบการพิจารณาสั่งคดี กลับเห็นว่าการทำหน้าที่ดังกล่าวเป็นไปพ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 มาตรา 7 วรรค 4 และ คำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุดที่ 1515/2562 เรื่อง การมอบหมายและมอบอำนาจให้รองอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด วันที่ 1 ต.ค.2562 รวมถึงมีความเห็นเสนอให้มีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหา ตามหลักฐานใหม่ที่ปรากฎ ใน 2 จุดสำคัญ

กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่ต้องร่วมกันพิจารณาอย่างละเอียด  จากจุดเริ่มการใช้อำนาจสั่งคดีของ  นายเนตร  นาคสุข   รองอัยการสูงสุด ขณะดำรงตำแหน่ง อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูง ในการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ  หรือ บอส  อยู่วิทยา   ในความผิดฐานขับรถโดยประมาทเฉี่ยวชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย  ขณะที่คณะทำงานตรวจสอบการพิจารณาสั่งคดี   กลับเห็นว่าการทำหน้าที่ดังกล่าวเป็นไปพ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 มาตรา 7 วรรค 4 และ คำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุดที่ 1515/2562  เรื่อง  การมอบหมายและมอบอำนาจให้รองอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด วันที่ 1 ต.ค.2562   รวมถึงมีความเห็นเสนอให้มีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหา ตามหลักฐานใหม่ที่ปรากฎ ใน 2 จุดสำคัญ  

กระทั่ง นายอรรถพล ใหญ่สว่าง  ในฐานะประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ได้ทำบันทึกข้อความถึง นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด (อสส.) เรื่องการแถลงข่าวผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะทำงานอัยการตรวจสอบการพิจารณาสั่งคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ผู้ต้องหาคดีขับรถยนต์ชนเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตเมื่อปี 2555 ว่า  การพิจารณารื้อหลักฐานใหม่เพื่อดำเนินคดีกับนายวรยุท หรือ บอส อยู่วิทยา   มีหลายปมต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ  เนื่องจากการใช้อำนาจในการสั่งคดีไม่ฟ้องผู้ต้องหาดังกล่าว  เป็นการกระทำมิชอบด้วยกฎหมายมาตั้งแต่ต้น

 

เปิดคำถามคาใจ อ.แก้วสรร ลั่นพอกันที ปล่อยให้เกิดเหตุซ้ำๆ อัยการก็คนเดิม อำนวย ทิ่มซ้ำแผลเน่า


(คลิกอ่านข่าวประกอบ :  ประธานก.อ.ส่งหนังสือถึงอสส.แจง 6 ข้อ เตือน พลิกคดีหาเหตุฟ้องบอส อยู่วิทยา )

ล่าสุด อ.แก้วสรร  อติโพธิ  ได้โพสต์แสดงความเห็นต่อกรณีที่เกิดขึ้น ผ่านเว็บไซด์ไทยโพสต์    หัวข้อ  คำถามที่ยังไม่มีคำตอบจากตำรวจและอัยการ ในคดี "บอส" มีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้

 

เปิดคำถามคาใจ อ.แก้วสรร ลั่นพอกันที ปล่อยให้เกิดเหตุซ้ำๆ อัยการก็คนเดิม อำนวย ทิ่มซ้ำแผลเน่า

 

หลังจากที่ให้เกียรติรอฟังคำชี้แจงจากคณะทำงานตรวจสอบคดีบอส ของอัยการ จนๆ ได้คำตอบมาพอสังเขปแล้วในวันนี้   ผมก็เห็นว่ายังมีคำถามสำคัญที่ยังไม่ได้ตอบอีกไม่น้อย   ดังจะขอทวงถาม ไปโดยลำดับดังนี้

คำถามที่ 1 :  หลักฐานไม่พอฟ้อง ? 

1.1) คำอธิบายว่า “หลักฐานไม่พอฟ้อง” นั้นรับฟังได้ ถ้าไม่มีใครเอาหลักฐานที่พอฟ้องได้ออกไปจากสำนวน   คำถามจึงมีอยู่ว่าทำไมผลการตรวจเลือดของนายบอส  ที่สาขาวิชานิติเวช  คณะแพทย์ รามาฯ ที่รายงาน สน.ทองหล่อ เป็นทางการว่า “ พบ  Cocaethylene อันเป็นสารที่เกิดขึ้นในเลือดในกระบวนการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย (Metabolism)  หลังการ เสพ Cocaine ร่วมกับแอลกอฮอล์ ”นั้น    แล้วทำไมรายงานนี้จึงไม่มีอยู่ในสำนวนสอบสวนที่อัยการส่งให้อัยการกรุงเทพใต้ ใครเอาออกไป จนสั่งไม่ฟ้องคดีในฐาน เมาสุราหรือเมายาขับรถ

1.2) ในสำนวนสอบสวนดังกล่าว รายงานไว้อย่างไร  ทำไมอัยการกรุงเทพใต้ทั้งผู้รับผิดชอบและอธิบดีใน ปี 2559  จึงไม่สงสัยเลยว่า รถพังยับเยินอย่างนี้ ควรจะมีผลการตรวจแอลกอฮอล์หรือยาเสพติดจากสถาบันทางนิติเวชเช่นคดีปกติทั่วไปมาแสดงในสำนวนสอบสวนด้วย   อำนาจดุลพินิจอัยการที่เชื่อตำรวจไปหมดจนไม่ยอมสงสัยอะไรเลยอย่างนี้ นี่คืออำนาจตรวจสอบของอัยการที่เราต้องยอมรับ เช่นนั้นหรือ

1.3) คดีนี้ เรื่องเมาเหล้าหรือเสพยาขับรถนี้ สำคัญมากๆ  หากขับรถชนคนตายแล้ว ก็ติดคุกถึง 10 ปี เท่ากับขับรถโดยประมาทเลยทีเดียว   ผิดติดคุกโดยพนักงานสอบสวนและอัยการไม่ต้องพิสูจน์ความเร็วรถ หรือความประมาทของใครเลย   พยานตรวจเลือดที่สำคัญที่สุดอย่างนี้ อัยการไม่บี้ให้กระจ่างได้อย่างไร   

1.4) มาวันนี้ หากเสนอกันไว้ว่าจะหยิบเรื่องโคเคนขึ้นมาเป็นหลักฐานใหม่เพื่อดำเนินคดี   ก็อย่าไปเอาผิดเฉพาะความผิดตามกฎหมายยาเสพติดเท่านั้น   ต้องใช้ความผิดฐานเมายาขับรถชนคนตาย ตามกฎหมายจราจรทางบกนี้ด้วย   

คำถามที่ 2 : อำนาจให้ความเป็นธรรมของอัยการสูงสุด?

2.1) คดีข้อหาประมาทนี้ อัยการกรุงเทพใต้สั่งฟ้องไปแล้ว รอแต่หาตัวมาส่งฟ้องต่อศาลเท่านั้น    แล้วอำนาจอัยการสูงสุดยังมีอำนาจสั่งไม่ฟ้องทับลงไป ตามคำร้องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาบอสได้อีกหรือ  

2.2)  ยิ่งไปกว่านั้น คำร้องขอความเป็นธรรมที่ว่านี้   เมื่อร้องไปยังอัยการสูงสุดคนก่อน   ก็ได้มีการพิจารณา และใช้อำนาจอัยการสูงสุดสั่งให้ยุติกระบวนการพิจารณาคำร้องนี้แล้วอีกด้วย  อัยการสูงสุดคนใหม่จะมาสั่งทับคำสั่งยุติคำร้องนี้อีกได้อย่างไร กฎหมายอัยการบอกว่าอัยการสูงสุดคนใหม่ต้องมีอำนาจสูงสุดกว่าคนก่อนอย่างนั้นหรือ  อัยการประเทศไหน

คำถามที่ 3 : อำนาจร้องสอดของกรรมาธิการ?
  
เมื่ออัยการสูงสุดคนก่อนสั่งยุติเรื่องแล้วคำร้องนี้จึงไหลมาเข้าที่ประชุม กมธ.กฎหมาย ของสภา หรือ สนช.   แล้วจากนั้นก็มีหนังสือจาก กมธ.นี้ส่งไปยัง อสส.ปัจจุบัน  แล้วมีการใช้อำนาจ อสส.สั่งไม่ฟ้องข้อหาประมาททำให้คนตายไปในที่สุด
  
3.1) คำถามแรกมีอยู่ว่า  หนังสือนี้ระบุความเห็นว่าอย่างไร  และจริงหรือไม่ที่มีผู้ชี้แจงว่า   ที่ประชุม กมธ.ไม่ยอมรับพิจารณาคำร้องนี้เลย  แล้วเหตุใดจึงมีหนังสือถึง อสส. ออกมาได้ในนามของคณะกรรมาธิการ  มีใครในคณะกรรมาธิการออกหนังสือโกหก  เปิดเกมส์ให้พิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรมอีกครั้งอย่างนั้นหรือ   ถ้ามี ใครควรจะเป็นจำเลยในก๊วน 157 นี้บ้าง
  
3.2) หนังสือนี้ส่งถึง อสส. คนปัจจุบัน  ใครเป็นผู้ใช้อำนาจ อสส.รับเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง ทั้งๆที่ อสส.เดิมสั่งยุติไปแล้ว   กมธ.มีอำนาจอะไรมามาสอดส่าย ให้ สนง.อัยการสูงสุด รับเรื่องนี้ขึ้นมาได้  ไหนว่ารัฐธรรมนูญรับรองให้อัยการเป็นองค์กรอิสระไปแล้ว   จริงหรือไม่ว่า อัยการที่รับหน้าที่กลั่นกรองเรื่อง ได้ตรวจและเสนอเป็นเบื้องต้นไว้แต่แรกแล้วว่า  พยานตามคำร้องไม่พึงรับฟัง  แล้วเบื้องบนคนไหนสั่งฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่ให้สอบพยานเพิ่มเติมตามคำร้องได้ ใช่ อสส.คนปัจจุบันหรือไม่ อย่างไร ไม่ใช่ไปต่างจังหวัดแล้วหรือ

คำถามที่ 4 : ยังทนดูกันต่อไปได้อีกหรือ ?

การเต้นตามตามคำร้องขอความเป็นธรรมของจำเลยหรือผู้ต้องหา (ที่มีฐานะ) อย่างยืดเยื้อ ไม่มีหยุด แล้วลงเอยเป็นการใช้อำนาจดุลพินิจสั่งไม่ฟ้องอย่างน่าคลางแคลงของอัยการ ที่ไม่มีใครตรวจสอบได้ นี้   ระเบิดเป็นคำถามตามรายทางมาหลายปี  และถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนไม่น่าจะทนกันได้อีกต่อไปแล้ว
  
4.1) ที่ส่งฟ้องไปแล้ว ก็ยังถอนฟ้องได้ เช่นคดีธัมมชโย   หรือไม่ก็ไม่อุทธรณ์ไปเสียเฉยๆ เช่น คดีโอ๊ค ก็ทำมาแล้ว   ทั้งๆที่คดีนี้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน เขาเห็นตามอัยการ และ  ดีเอสไอแล้วด้วย
  
4.2) คดีธรรมกาย คดีวิคตอเรีย สองคดีนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ทุ่มเทเต็มที่ อัยการที่ร่วมสอบสวนก็ยืนหยัดเห็นด้วยจนเห็นควรเสนอให้ฟ้อง   แต่อัยการในสำนักงานก็สั่งสอบเพิ่มเติมตามคำร้องจำเลยมาตลอด   แล้วก็สั่งไม่ฟ้องไปในที่สุด    จนไม่รู้จะให้อัยการมาร่วมสอบสวนกับดีเอสไอเขาทำไม ในเมื่อไม่ฟังเขาเลยอย่างนี้ ทำไมไม่ให้ ดีเอสไอฟ้องเองไปเลยจะไม่ดีกว่าหรือ ในเมื่ออัยการก็เข้ามาร่วมสอบสวนตั้งแต่แรก เหมือนนานาประเทศเขาแล้ว 

 

เปิดคำถามคาใจ อ.แก้วสรร ลั่นพอกันที ปล่อยให้เกิดเหตุซ้ำๆ อัยการก็คนเดิม อำนวย ทิ่มซ้ำแผลเน่า
  
4.3) มาคดีบอสนี่  บานปลายสูงสุดถึงขนาดอัยการสั่งคดีทับกันเองได้ ราวกับเป็นศาลพิพากษาทับกันเองไปมา ตามที่จำเลยจะอุทธรณ์ฎีกากะให้ถึงที่สุดเลยทีเดียว  แถมชั้นฎีกายังมี กมธ.สภาร้องสอดเข้ามาอีกด้วย   

พอกันทีแล้วใช่ไหม กับ “อำนาจดุลพินิจ” ที่เละเทะแบบนี้ ? คณะกรรมการอัยการ กับ ปปช. ทนได้ไหมครับ?


ก่อนหน้านั้น  พล.ต.ท.อำนวย  นิ่มมะโน   ในฐานะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม   ได้โพสต์ความเห็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจากการทำหน้าที่ในองค์กรอัยการว่า     "ได้ฟังการแถลงข่าวของกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของอัยการแล้วสรุปแบบสั้นๆ  ว่า...  ผู้สั่งคดี(อัยการ) สั่งไปโดยชอบ ตามกรอบของกฎหมาย ตามอำนาจหน้าที่ และกรรมการมีข้อเสนอให้ตำรวจทำการสอบสวนเพิ่มเติมเพราะมีพยานหลักฐานใหม่ที่ยังไม่ได้รวบรวมไว้ เช่น เรื่องความเร็วรถ 177 กม./ชม. เรื่องผลตรวจมีสารเสพติดในร่างกายของบอส อยู่วิทยา

 

เปิดคำถามคาใจ อ.แก้วสรร ลั่นพอกันที ปล่อยให้เกิดเหตุซ้ำๆ อัยการก็คนเดิม อำนวย ทิ่มซ้ำแผลเน่า

 

อันว่า "พยานหลักฐานใหม่" ต้องเป็นพยานหลักฐานที่ไม่เคยมีมาก่อน  ถ้ามีมาก่อนแล้วแต่สอบสวนไม่ครบถ้วนสมบูรณ์  (พนักงานสอบสวนไม่รวบรวมให้ครบถ้วนสมบูรณ์ /พนักงานอัยการไม่ตรวจสอบหลักฐานและสั่งเพิ่มเติมให้ครบถ้วนสมบูรณ์) จะมาถือว่าเป็นหลักฐานใหม่หาได้ไม่? เพราะเป็นเพียงความบกพร่องในการรวบรวมพยานหลักฐาน(ไม่ว่าจะโดยไม่ใส่เข้าไป หรือเอาออกจากสำนวน) และจะบกพร่องทั้งผู้รวบรวม(พนักงานสอบสวน ) และผู้ตรวจสอบสำนวน(พนักงานอัยการ)

คดีนี้ จึงต้องเริ่มจากเอาผิดกับผู้สั่งคดีก่อนว่าสั่งไปโดยมิชอบ  (สั่งไปโดยที่หลักฐานไม่ครบถ้วนสมบูรณ์)  แล้วค่อยเอากลับมาสั่งให้ตำรวจทำการสอบสวนเพิ่มเติมให้ครบถ้วนแล้วจึงค่อยสั่งคดีใหม่ มิใช่อ้างว่าอัยการที่สั่งคดีถูกต้องแล้ว จึงโยนใส่ตำรวจว่าบกพร่องในการรวบรวมหลักฐานเพียงฝ่ายเดียว

จากเหตุนี้การที่จะปฏิรูปการสอบสวนโดยให้พนักงานอัยการมาร่วมสอบสวนเสีย  ตั้งแต่ชั้นสอบสวนควรจะคิดให้จงหนักเมื่อเอาการตรวจสอบถ่วงดุลมารวมไว้ที่เดียวกัน จึงควรที่จะสร้างกลไกอะไรขึ้นมาเสริมหรือไม่??

 

เปิดคำถามคาใจ อ.แก้วสรร ลั่นพอกันที ปล่อยให้เกิดเหตุซ้ำๆ อัยการก็คนเดิม อำนวย ทิ่มซ้ำแผลเน่า