- 03 พ.ย. 2560
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
จากกรณีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะ ที่มีกำหนดเดินทางไปตรวจราชการที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2560 โดยนายกรัฐมนตรีและคณะมีกำหนดเดินทางถึงท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช เวลา 08.00 น.วันที่ 3 พฤศจิกายน 2560 จากนั้นออกเดินทางไปสักการะพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช กราบนมัสการเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร อ.เมืองนครศรีธรรมราช สักการะพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ต่อจากนั้นเดินทางไปยังศูนย์อำนวยการและประสานการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.ปากพนัง เมื่อเดินทางถึงนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมและมอบนโยบายแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้ และผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งรับฟังบรรยายสรุปการบริหารจัดการน้ำที่ผ่านมาและการเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ จากอธิบดีกรมชลประทาน และรับฟังปัญหา อุปสรรคการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่อจากนั้นนายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมพื้นที่ตั้งโครงการประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ พร้อมพบปะประชาชนที่มารอต้อนรับ มอบเครื่องนุ่งห่มแก่ผู้สูงอายุ มอบทุนการศึกษาแก่นักเรียน มอบเรือท้องแบนให้แก่นายอำเภอเพื่อนำไปให้ชุมชนจัดการภัยพิบัติตนเอง และเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ OTOP จังหวัดนครศรีธรรมราช ท่ามกลางการอารักขาเข้มทั้ง 3 จุด ตามที่เสนอข่าวมาแล้วนั้น
(3 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้มีกลุ่มประชาชนจำนวนหลายกลุ่มที่จะเข้ายื่นหนังสือคัดค้านนโยบายของรัฐบาล กลุ่ม ทำให้ทางจังหวัดนครศรีธรรมราช และสำนักนายกรัฐมนตรีเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวายจึงได้ประสานแจ้งไปยังกลุ่มที่จะมายื่นหนังสือและทำความเข้าใจ ว่าจะจัดจุดรับยื่นหนังสือร้องทุกข์/ร้องเรียน ที่บริเวณ อบต.หูล่อง อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราบ โดยเป็นเจ้าหน้าที่จากศูนย์ดำรงธรรม ที่เดินทางมาจาก กทม. มารับเรื่องราวเองโดยตรง ให้ทุกคนกลุ่มที่ประสงค์ จะยื่นหนังสือ ให้ไปติดต่อยื่นหนังสือได้ โดยไม่อนุญาตให้ยื่นโดยตรง ไม่มีการจัดคิวรอยื่น และให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบทำความเข้าใจกับแต่ละกลุ่มด้วย
สำหรับกลุ่มชนมวลต่าง ๆ ที่จะเดินทางมายื่นหนังสือต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เท่าที่รวบรวมได้ประกอบด้วย กลุ่มอนุรักษ์ป่าต้นน้ำเขาเหมน - วังหีบ เครือข่ายรักษ์บ้านเกิดทุ่งสง – นครศรีธรรมราช นำโดยนายชาตรี ผาสุก ประธานกลุ่ม ฯ เรื่องคัดค้านโครงการก่อสร้างเขื่อนวังหีบในพื้นที่ ต.นาหลวงเสน อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช กลุ่มสมัชชา 9 เขื่อน 1 แม่น้ำ นำโดยว่าที่กำพล จิตตะนัง จะจัดตัวแทนยื่นหนังสือคัดค้านโครงการก่อสร้างเขื่อน จำนวน ต เขื่อน และโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช ( แม่น้ำไชยมนตรี )นำโดยนางวัลภา พุทธพฤกษ์ ส.อบต.ไชยมนตรี อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ชมรมคนรักษ์บ้านเกิดบางจาก นำโดยนายสุมล กาลา เรื่องคัดค้านโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช กรณีโครงการพาดผ่านที่ดินทำกินของราษฎรในพื้นที่ หมู่ที่ 1, 5และ 8 ต.บางจาก อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช และสมาคมประมงชายฝั่ง อำเภอปากพนัง นำโดยนายมาโนช ดวงดี นายกสมาคมฯ จะยื่นเรื่องชาวบ้านจาก 4 ตำบลประกอบด้วย ต.แหลมตะลุมพุก ต.ปากพนังฝั่งตะวันตก ต.ปากพนังฝั่งตะวันออก และ ต.คลองน้อย ขอพื้นที่แนวชายฝั่งเลี้ยงหอยแครงครอบครัวละ 15 ไร่ และขอให้เอาจริงกับการจับกุมเครื่องมือประมงผิดกฎหมาย และแก้ปัญหายาเสพติดในพื้นที่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช
รวมทั้งชมรมคนลุ่มน้ำพึ่งพาตนเอง นำโดยนายสมเกียรติ ทิศนุ่น ประธานชมรม ฯ จะยื่นหนังสือ 3 ฉบับ ประกอบด้วย 1. หนังสือขอบคุณรัฐบาลกรณีการจัดสรรงบประมาณก่อสร้างแนวคันกั้นคลื่นป้องการกันกัดเซาะชายฝั่งทะเล ปากพนัง – หัวไทร ซึ่งชาวบ้านเดือดร้อนและเรียกร้องมาอย่างยาวกว่า 40 ปี และเพิ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมกว่า 2,000 ล้านบาท 2..หนังสือให้ติดตามเร่งรัฐมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากคลื่นกัดเซาะ (โฉนดทะเล ) จนที่ดินกลายเป็นทะเลไปโดยปริยาย ชาวบ้านไร้ที่ทกกินและอยู่อาศัยได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก และ 3.หนังสือของบประมาณเพิ่มเติมส่วนขยายท่าเทียบเรือเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ต.บางพระ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่สามารถใช้การได้เนื่องจากตัวสะพานมีความยาวน้อยเกินไปพื้นที่ตื้นเขินเรือท่องเที่ยวไม่สามารถเข้ามาจอดเทียบได้
นายสมเกียรติ ทิศนุ่น ประธานชมรมคนลุ่มน้ำพึ่งพาตนเอง กล่าวว่า เท่าที่ตนทราบมีกลุ่มพลังมวลชนจากหลายกลุ่มหลายพื้นที่จะเข้ายื่นหนังสือคัดค้านโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล แต่ชาวปากพนังกว่า 1,000 คน โดยเฉพาะชมรมคนลุ่มน้ำพึ่งพาตนเองจะรอต้อนรับคณะของนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นหนังสือของคุณที่ท่านให้ความเมตตาสงสารชาวปากพนัง 5 ตำบลที่ประสบปัญหาคลื่นกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรง จนชาวบ้านจำนวนมากแทบไม่เหลือมที่ดินทำกินเพราะที่ดินกลายเป็นทะเลไปโดยปริยาย ชาวปากพนังเรียกร้องขอความเมตตามาทุกรัฐบาลนานถึง 40 ปี แต่ไม่ได้รับการเหลียวแลแก้ปัญหาแม้แต่น้อย จนเมื่อมาถึงรัฐบาลนี้ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยด้วยการจัดสรรงบประมาณกว่า 2,000 ล้านบาทให้ก่อสร้างแนวคันกั้นคลื่นปากพนัง-หัวไทร ซึ่งเชื่อว่าเมื่อโครงการแล้วเสร็จชาวปากพนังจะสามารถลืมตาอ้าปากได้ และขอเรียกร้องในเรื่องการชดเชยที่ดินที่ถูกคลื่นกัดเซาะเป็นโฉนดทะเลเพื่อจะได้เป็นทุนในการหาที่อยู่อาศัยและเป็นทุนในการประกอบอาชีพใหม่ต่อไป
“ส่วนเรื่องการของบประมาณเพิ่มเติมเพื่อขยายโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ต.บางพระ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งตนได้บริจาคที่ดินมูลค่า 4 ล้านให้ก่อสร้างแล้วเสร็จเรียบร้อยแล้วในวงเงินงบประมาณมูลค่า 23.9 ล้านบาท แต่ไม่สามารถใช้การได้เนื่องจากตัวสะพานมีความยาวยื่นลงไปในทะเลแค่ 50 เมตรน้อยเกินไปพื้นที่ตื้นเขินเรือท่องเที่ยวไม่สามารถเข้ามาจอดเทียบได้ หากไม่ดำเนินการก่อสร้างตัวสะพานให้ยาวกว่าเดิมการก่อสร้างท่าเรือท่องเที่ยวที่ผ่านมาก็เท่ากับสูญเปล่า จึงขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ พิจารณาอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อต่อยอดโครงการนี้ให้เกิดประโยชน์ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวของ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งตนยืนยันว่าชาวปากพนังยินดีต้อนรับและดีใจที่ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีเดินทางลงมาเยี่ยมในพื้นที่ อ.ปากพนัง และถือเป็นรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาให้กับชาวปากพนังอย่างแท้จริง.”นายสมเกียรติ กล่าวในที่สุด.
ภาพ/ชมรมคนลุ่มน้ำพึ่งพาตนเอง อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช
ข่าว / ยุทธนะ เตมะสิริ ผู้สื่อข่าวภูมิภาค สำนักข่าวทีนิวส์ จังหวัดนครศรีธรรมราช